JPMorgan เผยว่า นักลงทุนสถาบันต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยบิทคอยน์มากกว่าทองคำ
JP Morgan เผยว่า ความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนระดับสถาบันต้องการป้องกันความเสี่ยงบิทคอยน์ และส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
JP Morgan เผยว่า ความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนระดับสถาบันต้องการป้องกันความเสี่ยงบิทคอยน์ และส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
หนึ่งในธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา JP Morgan เผยว่า การเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ในสัปดาห์นี้ได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนระดับสถาบันที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อด้วยบิทคอยน์
ทำไมความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จึงทำให้ราคาบิทคอยน์พุ่งสูงขึ้น?
สิ่งที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดในช่วงนี้คือ วิกฤตทางด้านพลังงาน โดยราคาน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเจ็ดปีที่ 80 ดอลลาห์ต่อบาร์เรล และราคาก๊าซธรรมชาติที่พุ่งสูงขึ้นจากการที่ยุโรปกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น รวมถึงการที่รัฐบาลจีนสั่งให้บริษัทน้ำมันในประเทศสำรองพลังงานไว้ใช้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น บวกกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้นักลงทุนบางส่วนจำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยการลงทุนบิทคอยน์นั่นเอง
JPMorgan เผยว่า นักลงทุนสถาบันตอนนี้ดูเหมือนจะกลับไปหาบิทคอยน์ โดยมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีกว่าทองคำ
"Institutional investors appear to be returning to Bitcoin perhaps seeing it as a better inflation hedge than gold"
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ไม่ได้ระบุเกี่ยวกับการอนุมัติกองทุนบิทคอยน์ ETF ของสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลต่อราคาแต่อย่างไร
นอกจากนี้ Michael Saylor ซีอีโอของบริษัท MicroStrategy ที่มีการครอบครองบิทคอยน์กว่า 114,042 เหรียญ ได้แสดงความคิดเห็นว่า
การที่ธนาคารรายใหญ่และหน่วยงานกำกับดูแลให้การรับรองบิทคอยน์ และทำให้ทองคำล่มสลายได้เร็วขึ้น ซึ่งบิทคอยน์กำลังจะเป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่ปลอดภัย (safe-haven) สำหรับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย
การยอมรับในบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นของสถาบันการเงิน
ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงิน รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ให้การยอมรับในสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะบิทคอยน์ ซึ่งล่าสุด Bank of America ก็ได้เผยแพร่ในรายงานล่าสุดที่ว่า อุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลและบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจได้เติบโตขึ้นจนถึงจุดที่ใหญ่เกินไปกว่าจะมองข้ามไปได้
Morgan Stanley ก็เป็นธนาคารชั้นนำอีกแห่งที่ยอมรับในสกุลเงินดิจิทัล หลังจากที่ธนาคารได้เปิดตัวเครื่องมือในการลงทุนบิทคอยน์ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้กลางเดือนที่แล้ว ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยังเปิดตัวทีมการวิเคราะห์ทางด้านคริปโตเคอร์เรนซี่ ส่วนธนาคารรายใหญ่อื่น ๆ อย่าง JPMorgan และ Goldman Sachs ได้มีการเปิดตัวการให้บริการซื้อขายคริปโตเมื่อกลางปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ทำให้เราไม่สามารถมองข้ามการเติบโตของคริปโตเคอร์เรนซี่ได้เลย
นักลงทุนจับตาไปที่การอนุมัติกองทุนบิทคอยน์ ETF
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์นี้มากขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้สถาบันการเงินหลายแห่งจึงต้องการเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดนี้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ซึ่งกองทุน Purpose Bitcoin ETF ของแคนาดา นับว่าเป็นกองทุนบิทคอยน์ ETF แห่งแรกของโลก โดยจัดตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) มากถึง 1.51 พันล้านดอลลาห์เลยทีเดียว และหลังจากนั้นกองทุน Evolve Bitcoin ETF และ CI Galaxy Bitcoin ก็ถูกก่อตั้งในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกากำลังถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนกำลังรอการอนุมัติกองทุนบิทคอยน์ ETF และหากกองทุนได้รับการอนุมัติก็จะเป็นผลดีอย่างมากต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่
ล่าสุดราคาบิทคอยน์ได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 56,000 ดอลลาห์ไปได้ และในขณะที่รายงาน ราคา BTC/USDT ซื้อขายอยู่ที่ 55,430 โดยเพิ่มขึ้น 2.09% ในวันนี้ ซึ่งปัจจัยในการปรับตัวขึ้นครั้งนี้มาจากการที่นักลงทุนมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการอนุมัติกองทุนบิทคอยน์ ETF จากคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริกานั่นเอง