Binance คือแพลตฟอร์มสำหรับซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัล หรือเอาไว้เทรดคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency Exchange) ที่มีขนาดใหญ่และมีเครือข่ายไปทั่วโลก คนไทยเองก็สามารถเทรดสกุลเงินดิจิทัลโดยใช้เงินบาทผ่านทางBinanceได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าBinance จะมีหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเทรดสกุลเงินดิจิตัล แต่ก็มีการผลิตเหรียญของตนเองโดยใช้ชื่อว่า BNB หรือ Binance Coin ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น BNB จึงเปรียบเสมือนเป็นเชื้อเพลิงคอยขับเคลื่อนกระดานเทรดBinance เอาไว้และทำหน้าที่ได้หลายอย่าง
เหรียญ BNB หรือว่า Binance Coin ได้ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากมีการระดมทุนเมื่อปี 2017 โดยมีการกำหนดการขายเหรียญ BNBแบบ ICO(Initial Coin Offering) ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2017 มีการเปิดขายล่วงหน้าประมาณ 11 วันเท่านั้นก่อนที่จะทำการเปิดตัวกระดานเทรด Binanceในเวลาต่อมา
เหรียญ BNB ได้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ระบบขับเคลื่อนด้วย ERC-20 จากฐานระบบบล็อกเชน (Blockchain) ของ Ethereum แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงมาใช้ฐานระบบของตนเองที่มีชื่อว่า “Binance Chain” หรือว่า BEP2 เพื่อทำให้มีการรองรับการสร้างเหรียญ (Token) อีกทั้งยังช่วยประมวลผลการซื้อ-ขายให้รวดเร็วกว่าเดิม ส่งผลทำให้ Binance ทั้งปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
BNB หรือว่า Binance Coin นั้นมีจำนวนเหรียญสกุลเงินดิจิทัลอยู่ในระบบอย่างจำกัดเพียงแค่ 200 ล้านเหรียญแต่เพียงเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังถูกนำมาแบ่งขาย ICO แค่ 100 ล้านเหรียญ ทำให้ทุกไตรมาสของเหรียญ BNB จะมีการเผาเหรียญ (Burn) เกิดขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดการเฟ้อของเหรียญ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุปทานที่ล้นตลาด (Supply)
เพื่อไม่ให้เกิดการเฟ้อขึ้นของเหรียญ BNB ดังนั้นจึงเกิดการเผาเหรียญ (Burn) ขึ้นในทุกไตรมาสของ Binance ที่จะมีการนำเอากำไรทั้งหมดจากเหรียญ BNB จำนวน 20% ของทั้งหมดมาซื้อเหรียญ BNB มาเป็นของตัวเอง จากนั้นก็ได้ทำการเผาหรือว่าทำลายทิ้งไป เพื่อทำให้เหรียญ BNB ในระบบทั้งหมดเหลือเพียงแค่ 50% เท่านั้นจากทั้งหมด 100 ล้านเหรียญ ก่อให้เกิด demand-supply ที่ไม่สมดุล เพราะจะทำให้อุปทาน (supply) ลดลง และอาจจะทำให้มูลค่าของเหรียญ BNB สูงขึ้นในอนาคต