การที่มูลค่าของ Bitcoin (BTC) นั้นพุ่งทยานขึ้นสู่ ATH ระดับใหม่ที่ 66,900 ดอลลาร์ในวันที่ 20 ตุลาคม ได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างมหาศาลแก่เหล่านักลงทุนไม่ว่าจะเป็นรายเล็ก หรือรายใหญ่ โดยพวกเขาได้หันกลับมาสะสมคริปโทอันดับ 1 เข้าในกระเป๋าอีกครั้ง
เหล่านักขุด Ether (ETH) ทั้งหลายไม่มีความเต็มใจที่จะขายสินทรัพย์ ETH ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เนื่องด้วยความคาดหวังว่าราคาของมันจะเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
แม้สถานการณ์ของ Bitcoin (BTC) นั้นจะไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในเดือนที่แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ตลาดสีแดงในเดือนก่อนก็คือการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันจำนวนมาก โดยบริษัทมหาชนเหล่านี้ครอบครอง Bitcoin รวมกันราว ๆ 200,000 BTC
หลังจาก Bitcoin (BTC) แตะระดับสูงสุดตลอดกาลด้วยราคาที่มากกว่า 61,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้น Bitcoin ก็ย่อลงมาครั้งใหญ่แบบไม่ให้ทันตั้งตัว ซึ่งแม้แต่เหล่าวาฬหลายตัวก็เทขายออกไป แล้วสิ่งนี้กำลังจะบอกอะไรเรากันแน่?
นักลงทุนรายใหญ่ (Whale) เทขายเหรียญกว่า 9,000 BTC ชี้เหตุเพราะนักลงทุนรายย่อยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด
Standard Chartered สาขาฮ่องกงกับ Animoca Brands จัดตั้งบริษัท Anchorpoint Financial เพื่อยื่นขอใบอนุญาตผู้ออก Stablecoin ขณะที่การแข่งขันในตลาดฮ่องกงร้อนแรงขึ้นหลังกรอบกฎระเบียบเริ่มชัดเจน
กลุ่ม Bitcoin Indonesia ได้เสนอแนวคิดเรื่องการใช้ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรองต่อรองนายกรัฐมนตรี พร้อมชูศักยภาพการขุดและการให้ความรู้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
BlackRock’s IBIT มีเงินไหลออก 292 ล้านดอลลาร์ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาของ Bitcoin ฟื้นตัวจากการร่วงลงในช่วงสุดสัปดาห์ และกระแสความสนใจใน Spot Bitcoin ETF เริ่มชะลอตัวลง
Metaplanet กลายเป็นบริษัทมหาชนแห่งแรกที่เข้าซื้อ Bitcoin ท่ามกลางการปรับฐานของตลาดในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ด้วยจำนวน 463 เหรียญ มูลค่ารวมราว 8 พันล้านเยน หรือประมาณ 53.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Strategy บริษัทที่ถือ Bitcoin มากที่สุดในโลก เดินหน้าซื้อเพิ่มอีกกว่า 21,000 เหรียญ หลังระดมทุนได้ 2.5 พันล้านดอลลาร์จากการเสนอขายหุ้นบุริมสิทธิแบบถาวร STRC ซึ่งกลายเป็น IPO ที่ใหญ่สุดในสหรัฐฯ ประจำปี 2025
การปรับตัวขึ้นของราคา Ethereum จุดความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตอีกครั้ง นักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของรอบขาขึ้นใหญ่ของเหรียญ Altcoin ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นักวิเคราะห์ชี้ Bitcoin กำลังทดสอบแนวรับสำคัญในจุดที่คล้ายกับช่วงก่อนที่ราคาจะพุ่งทะลุจุดสูงสุดเมื่อปลายปี 2024 ซึ่งหากแนวโน้มซ้ำรอยเดิม ราคามีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
