Meta เล็งเพิ่มฟีเจอร์ NFT ลงบน Instagram
Mark Zuckerberg แอบเผยโปรเจกต์ใหม่ของ Meta เล็งเพิ่มฟีเจอร์ NFT ลงบน Instagram ให้ผู้ใช้งานสามารถมินต์ผ่านแอปพลิเคชันได้
Mark Zuckerberg แอบเผยโปรเจกต์ใหม่ของ Meta เล็งเพิ่มฟีเจอร์ NFT ลงบน Instagram ให้ผู้ใช้งานสามารถมินต์ผ่านแอปพลิเคชันได้
แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Meta ต้องเผชิญกับอุปสรรคครั้งยิ่งใหญ่จากหลากหลายด้านมาแล้วก็ตาม แต่ทว่าในครั้งนี้ ซีอีโอ Mark Zuckerberg กลับออกมาประกาศข่าวดีให้บรรดาผู้ใช้งานได้ชื่นใจ ถึงโปรเจกต์ใหม่ที่ทาง Meta เล็งเพิ่มฟีเจอร์ NFT ลงบน Instagram แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอ และรูปภาพชื่อดังภายในงานประชุม South by Southwest ที่ถูกจัดขึ้นในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนักข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยนั้นได้โพสต์รายงานข่าวผ่านทางทวิตเตอร์ถึงความคาดหวังของซีอีโอ Meta ต่อฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งาน Instagram สามารถแปลง (Mint) ผลงาน NFT หรือ Non-Fungible Token ของพวกเขาผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ไม่ใช่แค่เพียง Meta เล็งเพิ่มฟีเจอร์ NFT ตามกระแสความนิยม
บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่กำลังมองหาแนวทางที่จะนำคริปโตเคอเรนซี และ NFT เข้ามาใช้บนแพลตฟอร์มของตนเอง หลังจากที่แอปพลิเคชัน Twitter ตัดสินใจที่จะเพิ่มฟังชันรองรับการตั้งรูปโปรไฟล์ของผู้ใช้งานด้วยสินทรัพย์ NFT ได้ เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ทาง Reddit เองก็ได้สร้าง Avatar NFT ในคอลเลกชันของตนเองขึ้นตามกระแสความนิยม รวมไปถึงแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใหญ่ชื่อดังอย่าง OnlyFans ก็ออกมาอนุมัติฟังก์ชันการเปิดใช้รูปโปรไฟล์ด้วย NFT ไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 ด้วยเช่นเดียวกัน
ต้องยอมรับเลยว่าในปีที่ผ่านมา กระแสความต้องการในตัวสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นแพร่กระจายออกไปในหลากหลายอุตสาหกรรมภายช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่สถานบันการเงินแบบดั้งเดิมจำนวนมากที่ได้ออกมาแสดงความสนใจในตลาดคริปโตไม่แพ้อุตสาหกรรมอื่น ๆ เลย โดยจะเห็นได้จาก American Express บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ได้ออกมาบอกใบ้ถึงการขยายกิจการเข้าสู่จักรวาล Metaverse ผ่านการยืนจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า นอกจากนี้สัญญาณดังกล่าวยังเป็นเครื่องหมายสำคัญที่บ่งชี้ว่าบริษัทพร้อมที่จะให้บริการธนาคาร และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รวมไปถึงการเปิดใช้งานบัตรเครดิตบนตลาด NFT อีกด้วย
Meta เผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2021 ที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตสื่อโซเชียลมีเดียชื่อดัง Facebook ได้เปลี่ยนชื่อขององค์กรเป็น Meta ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโปรเจกต์ Metaverse อย่างจริงจัง โดยรายงานผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าบริษัทขาดทุนไปมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการลงทุนไปกับงานวิจัยเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR), ฝ่ายพัฒนาองค์กร และ Reality Labs ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียเงินทุนจำนวนมหาศาลเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ หลังจากที่โปรเจกต์ Metaverse ได้ถูกเปิดตัวออกไปแล้ว แต่ทว่าปัจจุบันทางองค์กรก็ยังไม่ได้ออกมาเผยรายละเอียดที่ชัดเจนว่าทางองค์กรได้รับกำไรจากโครงการดังกล่าวมากน้อยเพียงใด
นอกเหนือจากโครงการ Metaverse แล้วนั้น ทาง Meta ก็เคยพยายามที่จะก้าวเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างจริงจังมาแล้ว โดยทางบริษัทตัดสินใจประกาศสร้างเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเหรียญดอลลาร์สหรัฐของตนเองขึ้นในปี 2019 ภายใต้ชื่อ Libra ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Diem ในเวลาต่อมา แต่ทว่า ในท้ายที่สุดแล้ว Meta ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ และโยนแผนการเหล่านั้นทิ้งไป เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลไม่อนุมัติทางบริษัทดำเนินการเปิดตัว รวมไปถึงขาดการสนับสนุนจากคอมมิวนิตีด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจึงจำใจที่จะต้องขายแผนการพัฒนาเหรียญคริปโตดังกล่าวให้กับ Silvergate Capital เพื่อหาเงินทุนกลับมาชดใช้ให้กับหุ้นส่วน
กระแส NFT เริ่มลดลงในช่วงต้นปี 2022
Google Trends ผู้ให้บริการตรวจสอบความนิยมของคำค้นหา หรือ เว็บไซต์ ชี้ให้เห็นว่าคำว่า NFT ก็ได้รับความนิยมจากผู้คนอย่างล้นหลาม จนสามารถทะยานขึ้นไปแตะสถิติคำค้นหาที่ผู้คนนิยมใช้สูงที่สุดในปี 2021 แต่ทว่า นับตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมาความนิยมของ NFT ก็เริ่มร่วงลงมาจนน่าใจหาย โดย จำนวนการค้นหานั้นร่วงลงมาจนแตะจุดต่ำที่สุดของสถิติทั้งหมดที่เคยทำมาในเดือนมีนาคม ปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าคีย์เวิร์ดคำว่า Metaverse เองก็ได้รับความสนใจลดลงมาเช่นเดียวกัน ก็ต้องมารอลุ้นกันว่าโปรเจกต์ใหม่ของ Meta นั้นจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากบรรดาผู้ใช้งานหรือไม่