ข่าว Bitcoin

สถิติสูงสุดครั้งใหม่! การขุด ETH สามารถทำกำไรได้มากกว่า BTC ถึง 3 เท่า

Vitalik Buterin 1 1.jpg

จำนวนพลังของการประมวลผลบนเครือข่าย Ethereumในปัจจุบันทำสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ภายหลังจากสัปดาห์ที่แล้วได้เกิดความผันผวนขึ้นของตัวชี้วัดหลักบนแพลตฟอร์ม Blockchain

Hash rate หรือ หน่วยวัดกำลังในการขุดของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย Blockchain ของ Ethereum นั้นได้ทำลายสถิติเดิมเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2018 ไปแล้วและนั่นทำให้การขุด ETH นั้นสามารถทำกำไรได้มากกว่า BTC ถึง 3 เท่า

ตามข้อมูลจากผู้ให้บริการวิเคราะห์ระบบ On-Chain อย่าง Glassnode ได้ระบุว่าค่าอัตรา Hash rate ของ Ethereum ได้ทำลายสถิติด้วยกำลังขุดสูงสุดที่มากกว่า 250 terahashes per second (TH/s) ไปเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งกำลังขุดได้เพิ่มขึ้นมากถึง 80% นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา

นอกจากนี้ทางบริษัท Glassnode ยังให้ข้อมูลต่อว่าในปีนี้กระแสของการดำเนินการโครงการ DeFiมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum หรือ (Gas Fees) สูงขึ้นและนั่นอาจส่งผลให้ตัวชี้วัดสูงตามจนทำลายสถิติได้ในที่สุด

Hash rateของ #Ethereumทำลายสถิติ All Time High (ATH) แล้ว
เหล่านักขุด Ethereumทั้งหลายได้ผลักดันให้ค่า Hash rateนำลายสถิติสูงสุดในช่วงที่กระแส #DeFiกำลังมาและค่าธรรมเนียมพุ่งสูงขึ้น
โดยกำลังในการขุดได้พุ่งทะลุ 250T/sไปแล้ว และในตอนนี้มันเพิ่มขึ้นมาจากช่วงต้นปีถึง 80%

ETH กำลังทำกำไรอย่างมหาศาล

กลุ่มนักขุด Crypto Mining Pool อย่าง F2Pool ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงประเด็นของผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยพวกเขาแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันการขุด Ethereum (ETH) แทนที่จะขุด Bitcoin (BTC) สามารถให้ผลกำไรได้มากกว่าถึงสามเท่า

ทางกลุ่มนักขุด F2Pool นั้นได้คำนวณความสามารถในการทำกำไรจากการขุด โดยกำหนดรายรับ ณ ขณะนั้น (Block Rewardหรือ รางวัลที่ได้จากการขุดและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม) และหักต้นทุนพลังงานออกไป ผ่านการเปรียบเทียบจากการใช้งานเครื่องขุดBTC รุ่นใหม่อย่าง Antminer S19 Proที่สามารถทำผลกำไรได้ 4.33 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลา 24 ชั่วโมง กับ GTX TitanV 8 cards ของเหล่านักขุด ETH ที่สามารถคาดหวังผลกำไรได้ถึง 15.56 ดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาเท่ากันและนั่นแปลว่าพวกเขาสามารถเพิ่มผลกำไรได้ถึง 259% ในขณะนี้

เครื่องขุดเจาะทั้งหกเครื่องที่ได้รับการตรวจสอบโดย F2Poolแสดงให้เห็นว่านักขุด Ethereumสามารถทำผลกำไรต่อวันได้มากกว่า 10 ดอลลาร์สหรัฐในขณะที่เครื่องขุด Bitcoinอีก 2 เครื่องทำผลกำไรได้มากกว่า 4 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

แรงจูงใจชั้นดีในการลงทุน

Hash rateเป็นตัวชี้วัดหลักในการพิจารณาความสมบูรณ์ และความปลอดภัยของ Blockchainซึ่งหน่วยวัดดังกล่าวจะวัดพลังในการคำนวณของเครือข่าย โดย Hash rate ของ Ethereumล่าสุดนั้นวัดค่าได้ใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในเดือนสิงหาคมปี 2018 ซึ่งวัดค่าได้ 246 TH/sอย่างไรก็ตามราคาของโทเค็นมีการลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่มีราคามากกว่า 400 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ลดลงมาเหลือต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐภายในเดือนธันวาคมปี 2018

แต่ไม่ใช้เพียงเพราะ Hash rate เท่านั้นที่ทำให้เหล่านักขุดต่างเบนเข็ม เพราะจากข้อมูลยังระบุอีกว่า หน่วยชี้วัดอื่น ๆ ของเครือข่าย Ethereum เองก็มีผลในการจูงใจให้เหล่านักขุดเลือกลงแรงบนเครือข่ายดังกล่าวแทนเครือข่ายของ Bitcoin

ETH ได้ผลประโยชน์จาก DeFi ไปเต็ม ๆ

กระแส DeFiที่เพิ่มขึ้นมาควบคู่กับการเติบโตของ Stablecoin กระตุ้นให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม Ethereum Blockchainทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยข้อมูลจาก Glassnodeแสดงให้เห็นว่าเหล่านักขุด Ethereumมีรายได้ถึง 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพียงอย่างเดียวในเดือนกันยายน ในทางกลับกันเหล่านักขุด Bitcoinมีรายได้เพียงแค่ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากค่าธรรมเนียมในช่วงเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม รายได้จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมได้ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ โดยทาง Cointelegraphได้มีการรายงานถึงค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum หรือ (Gas Fees) โดยเฉลี่ยที่ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 11.60 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 17 เดือนกันยายน ไปจนถึง 2.98 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งลดลงมากกว่า 74% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

นักวิเคราะห์ชี้โอกาสขาลงของ Bitcoin ยังคงริบหรี่ พร้อมคาดทำจุดสูงสุดใหม่ภายในไตรมาสแรก!
XRP พุ่งทะยาน 50% ในเดือนมกราคมนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์เป้าหมายถัดไปที่ 4$
ผู้บริหารบริษัท Web3 ชี้ สหรัฐฯ กำลังเลียนแบบแนวทางด้านคริปโตของเอลซัลวาดอร์
Bitcoin ร่วงแตะ $91,500 จากแรงกดดันสงครามการค้าโลก นักลงทุนกังวลความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ