ชาวอเมริกันเพียง 7% เท่านั้นที่ซื้อ Bitcoin
ตามข้อมูลใหม่จาก Statista ระบุว่ามีชาวอเมริกันเพียง 7% เท่านั้นที่เคยใช้ Bitcoin (BTC) ซึ่งนั่นหมายความว่าในปัจจุบันเหล่านักลงทุน BTC ยังคงอยู่ในขั้นแรกของการเติบโต
ตามข้อมูลใหม่จาก Statista ระบุว่ามีชาวอเมริกันเพียง 7% เท่านั้นที่เคยใช้ Bitcoin (BTC) ซึ่งนั่นหมายความว่าในปัจจุบันเหล่านักลงทุน BTC ยังคงอยู่ในขั้นแรกของการเติบโต
Dan Tapiero ผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนระดับโลกได้ออกมาเป็นเผยผลสำรวจจาก Statista ฐานข้อมูลสถิติและบทวิเคราะห์สถิติของอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันเพียง 7% เท่านั้นที่เคยใช้ Bitcoin และนั่นเป็นการบ่งชี้ว่า Bitcoin ยังคงยืนอยู่ในจุดเริ่มต้นของการเติบโตเท่านั้นเอง
โดยผู้ร่วมก่อตั้ง 10T Holdings รายนี้กล่าวว่า Bitcoin ยังคงอยู่ในระยะแรกของการก้าวเข้ามาเป็นสินทรัพย์รูปแบบใหม่
“นี่ยังเป็นเพียงช่วงต้นเท่านั้นสำหรับ Bitcoin ที่ยังอยู่ในระยะแรกเริ่มของการเป็นสินทรัพย์รูปแบบใหม่”
ในระยะยาว Bitcoin นั้นมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่า (Store Of Value) เอาไว้ได้ดั่งเช่น ทองคำ ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เหล่านักลงทุนคาดว่ามูลค่าของ Bitcoin จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้ภายในทศวรรษข้างหน้า
สิ่งใดบ้างที่จำเป็นสำหรับการทำให้ BTC เป็นที่ยอมรับในตลาดกระแสหลัก
ในปัจจุบันกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีความต้องการ Bitcoin นั้นมาจากเหล่านักลงทุนที่มองเห็น BTC เป็นเหมือนทองคำ 2.0 โดยนักลงทุนเหล่านั้นเชื่อว่า BTC จะพัฒนาตัวเองให้กลายเป็น Safe-Haven Asset หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการลงทุนต่ำได้นั่นเอง
ดังนั้นเหล่านักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) หรือนักลงทุนที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก จึงได้หันมาสะสม BTC ไว้เพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น บริษัท MicroStrategy ซึ่งทำการซื้อ Bitcoin มูลค่ากว่า 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ Stone Ridge เองก็ซื้อ Bitcoin เป็นเงินถึง 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และหากความต้องการ Bitcoin ในตลาดผู้ค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นไปตามภูมิภาคหลักต่าง ๆ อาจทำให้ BTC เติบโตขึ้นอย่างทวีคูณได้เช่นเดียวกันนั่นเอง
ยังต้องมีการพัฒนาอีกมากสำหรับวงการ Crypto
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โครงสร้างพื้นฐานของระบบแลกเปลี่ยน Bitcoin และระบบ Fiat On-Ramp หรือระบบที่อนุญาตให้ฝากเงินสดเข้าระบบและเปลี่ยนเงินสดให้มาอยู่ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล นั้นได้รับการปรับปรุงอย่างมากทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรปและเอเชีย แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีอีกหลายประเทศที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เขื่อถือได้จนถึงทุกวันนี้
ตัวอย่างเช่น ประเทศแคนาดาที่ไม่มีการกำหนดกฎระเบียบให้กับแหล่งแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลท้องที่รายใหญ่อย่างเคร่งครัดที่จะทำให้ผู้ใช้งานวางใจได้นอกจาก Coinbase
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานของระบบการแลกเปลี่ยนและ Fiat on-ramp ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วก็จะทำให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้าสู่ตลาดได้อย่างง่ายขึ้น
หากไม่มีกองทุนรวมดัชนี หรือ Exchange Traded Fund (ETFs) และธนาคารผู้รับฝากทรัพย์สินรายใหญ่แล้วละก็ ผู้ใช้งานก็คงต้องเผชิญกับความซับซ้อนของขั้นตอนที่ใช้ในระบบการแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนบางระบบจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการ Know Your Customer (KYC) หรือกระบวนการการรู้จักลูกค้าที่สามารถระบุตัวตน (Identification) และพิสูจน์ตัวตน (Verification) ได้อย่างถูกต้อง ก่อนที่ผู้ใช้งานจะสามารถเริ่มขึ้นตอนการโอนเงินเพื่อซื้อ Bitcoin
ด้วยเหตุนี้จนกว่าจะมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนักลงทุนรายย่อย เหล่านักลงทุนในกระแสหลักจะต้องดิ้นรนเพื่อเข้าสู่ตลาด Cryptocurrency
BTC จะเป็นอย่างไรหากได้รับการยอมรับจากตลาดกระแสหลัก
การคาดการณ์มูลค่าของ Bitcoin ในระยะยาวนั้นมีความแตกต่างกันไปตั้งแต่ 20,000 ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าผู้จัดการสินทรัพย์อย่าง Raoul Pal ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Real Vision Group เชื่อว่ามูลค่า BTC กำลังพุ่งไปที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ณ ราคาสูงสุดที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าตามราคาตลาดโดยรวมของ Bitcoin ที่ปรับลดลงทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจำนวนนั้นมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าคามราคาตลาดทองคำในปัจจุบันถึง 2 เท่า หรือคิดเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ