General

เกาหลีใต้กับการรับมือแฮ็กเกอร์ของ Kim Jong-Un

Photo 1501369497246 426438abca8e.jpg

มีใครบ้างที่มีความสามารถมากพอจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบ และรับมือกับการโจมตีอุตสาหกรรม Crypto จากฝีมือของกองกำลังไซเบอร์สังกัดตรงท่านผู้นำคิม แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือเกาหลีเหนือ

เรื่องน่าขันในวงการการเมืองแห่งแดนโสมใต้กำลังเกิดขึ้น เพราะล่าสุดหน่วยงานกำกับดูแลการบริการด้านการเงิน (Financial Services Commission — FSC) ประจำสาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ กลับออกมาเป็นผู้ตั้งคำถามเสียเองว่ากระทรวงใดบ้างที่ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการจัดการกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการขโมยสกุลเงินภายในประเทศโดยฝีมือของกองกำลังไซเบอร์สังกัดตรงผู้นำคิมแห่งเกาหลีเหนือ

การปฎิเสธความรับผิดชอบอย่างไม่ใยดี

มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบในการต่อต้านการแฮ็กจากประเทศเกาหลีเหนือซึ่งได้พุ่งเป้ามายังแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของเกาหลีใต้ โดยทางหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของเกาหลีใต้ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าทางหน่วยงานนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบ หรือแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์ที่ Crypto นั้นได้ถูกขโมยไปโดยแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือ หน่วยงานของนาย Kim Jong-Unเช่น Lazarus Group

โดยทางหน่วยงานกำกับดูแลดังกล่าวนั้นระบุว่ากรณีการโจรกรรมที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน Crypto ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กร ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย ซึ่งห FSC เลือกที่จะส่งต่อความรับผิดชอบนี้ให้กับกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Communications Commission — KCC) เป็นผู้ดูแลต่อไป

หลายภาคส่วนมองว่า Crypto คือเรื่องของ “การเงิน”

ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงาน KCC ที่ถูกกล่าวอ้างในข้างต้นต่างเชื่อมั่นว่า แท้ที่จริงแล้ว FSC นั้นควรเป็นฝ่ายที่ออกมารับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดที่บริษัท Crypto หลายแห่งได้รับ เนื่องด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับด้านการเงินทั้งสิ้น ซึ่งทั้งสองหน่วยงานยังมองว่าในจุดที่องค์กร FSC ยืนอยู่นั้นเป็นจุดที่ “ควรทำหน้าที่รับผิดชอบต่อการจัดการ และดูแลบรรดาผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือนจริง เช่น แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน Crypto”

Seong Il-jong ตัวแทนเลขาธิการพรรคฝ่ายค้านในการประชุมด้านการเมืองระดับนานาชาติ (National Assembly's Political Affairs Committee) เองก็ออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินงานของ FSC โดยเขาได้ออกมาย้ำเตือนถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานดังกล่าวว่า “ตามเนื้อหาในร่างกฎหมายเกี่ยวกับ Crypto ที่ได้มีการปรับปรุงระบุว่า ปัญหาใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Crypto จะตกเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน Financial Services Commission ที่จะต้องออกมาแก้ไข และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”

ทำไมหน่วยงานทั้งหลายในเกาหลีใต้จึงหวาดกลัวเกาหลีเหนือ

นับตั้งแต่ประชาคมโลกเริ่มใช้มาตรการคว่ำบาตรกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในปี 2018 ทำให้การส่งออกของประเทศเกาหลีเหนือลดลงไปประมาณ 10% ซ้ำร้ายไปกว่านั้นประเทศยังประสบปัญหาด้านการส่งออกซ้ำสองเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อ Corona Virus ที่นำไปสู่การปิดพรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แต่ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศเกาหลีเหนือกลับยังมีเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้าง และผลิตขีปนาวุธของพวกเขาได้ นั่นจึงทำให้เกิดการตั้งคำถามมากมายถึงวิธีที่เกาหลีเหนือใข้ในการหาเงินเข้าสู่ประเทศ โดยก็ได้ข้อสรุปจากรายงานของกองทัพสหรัฐอเมริกาว่าทางเกาหลีเหนือให้เงินสนับสนุนโครงการขีปนาวุธด้วยเงินสด และสกุลเงินดิจิทัลที่ขโมยมาจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน และธนาคารต่าง ๆ นั่นเอง

กองทัพไซเบอร์อันแสนแกร่งของท่านผู้นำคิม

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาบริษัทจัดหาข้อมูล และวิเคราะห์ Blockchain ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Chainalysis ได้เผยแพร่รายงานที่ระบุถึงจำนวนเงิน Crypto ที่ถูกขโมอยในประเทศเกาหลีเหนือในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 2015 – 2019) นั้นมีมูลค่าทะลุ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนกันยายน ปี 2019 กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกาได้นำเสนอรายงานระบุว่ามีกลุ่มแฮ็กเกอร์ถึง 3 กลุ่มด้วยกัน (Andariel, Bluenoroff, และLazarus) ที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือได้ทำการขโมยสกุลเงินดิจิทัลมูลค่ารวม 571 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2017 ไปจนถึงกันยายนปี 2018

นอกจากนั้น ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวจากกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้รวบรวมเหล่าแฮ็กเกอร์มากกว่า 6,000 ราย ที่แฝงตัวอยู่ในหลากหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐเบลารุส, สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาธารณรัฐอินเดีย, สหพันธรัฐมาเลเซีย, สหพันธรัฐรัสเซีย และอีกมากมาย

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

รายงาน ก.ล.ต. สรุปภาพรวมบัญชีซื้อขายที่ Active ในช่วงต้นเดือน 'เมษายน' ปี 2567
พบผู้ถือ Memecoin เกินกว่าครึ่ง ไม่ได้รับผลกระทบ จากการปรับตัวของตลาด
ซีอีโอ Crypto.com ชี้! Bitcoin กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
 วาฬหน้าใหม่ ครอบครอง Bitcoin รวมกันไปแล้วถึง 1.8 ล้าน BTC