วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมาย GENIUS ว่าด้วย Stablecoin ด้วยคะแนน 68-30 เสียง แม้มีเสียงคัดค้านเรื่องความเชื่อมโยงกับ Trump
GENIUS Act ซึ่งมีเป้าหมายวางกรอบการกำกับดูแล Stablecoin ในสหรัฐฯ ใกล้ก้าวสู่การเป็นกฎหมาย แม้ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าร่างนี้อาจเอื้อผลประโยชน์ให้กับประธานาธิบดี Donald Trump

GENIUS Act ซึ่งมีเป้าหมายวางกรอบการกำกับดูแล Stablecoin ในสหรัฐฯ ใกล้ก้าวสู่การเป็นกฎหมาย แม้ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าร่างนี้อาจเอื้อผลประโยชน์ให้กับประธานาธิบดี Donald Trump
วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins หรือที่รู้จักกันในชื่อ GENIUS Act ด้วยคะแนนเสียง 68 ต่อ 30 เสียง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในการกำหนดกรอบกฎหมายสำหรับ Stablecoin ในประเทศ
ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอโดยวุฒิสมาชิก Bill Hagerty จากรัฐเทนเนสซี เมื่อประมาณหกสัปดาห์ก่อน โดยก่อนหน้านี้เคยถูกปัดตกจากการโหวตเพื่อปิดการอภิปราย (Cloture vote) ในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากพรรคเดโมแครต ที่กังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง Donald Trump กับอุตสาหกรรมคริปโต
หนึ่งในประเด็นที่ถูกเพิกเฉยในร่างสุดท้ายคือข้อเสนอให้เพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับบทบาทของ Trump ต่อบริษัท World Liberty Financial ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ Stablecoin ชื่อ USD1 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทดังกล่าวมีสมาชิกในครอบครัว Trump ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนที่น่าจับตา
ก้าวสำคัญของสหรัฐฯ สู่การเป็นผู้นำด้านคริปโต
ก่อนการลงคะแนนเสียง วุฒิสมาชิก Hagerty กล่าวบนชั้นวุฒิสภาว่า “ด้วยร่างกฎหมายนี้ สหรัฐฯ กำลังก้าวเข้าใกล้ตำแหน่งผู้นำระดับโลกด้านคริปโตมากขึ้น” พร้อมเสริมว่า “เมื่อ GENIUS Act มีผลเป็นกฎหมาย ธุรกิจทุกระดับ รวมถึงประชาชนทั่วไป จะสามารถชำระเงินแบบทันที แทนที่จะต้องรอเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์”
ภายหลังการผ่านร่างกฎหมายในวุฒิสภา ขั้นตอนต่อไปคือการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยอาจมีการพิจารณาร่างคู่ขนานชื่อ STABLE Act ซึ่งมีแนวโน้มถูกเสนอแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเฉพาะจากฝั่งเดโมแครต
แม้พรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากในสภาล่างอย่างเฉียดฉิว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าร่าง GENIUS จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม David Sacks ผู้ดูแลนโยบายด้าน AI และคริปโตของ Trump เคยกล่าวไว้ในเดือนพฤษภาคมว่า ประธานาธิบดีน่าจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว หากถูกเสนอโดยสภาที่ควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน
ภาคธุรกิจใหญ่เตรียมพร้อม หาก Stablecoin ถูกกฎหมาย
หาก Stablecoin ถูกยอมรับในกรอบกฎหมายของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google, X และ Airbnb ต่างแสดงความสนใจในการออกโทเคนของตนเอง ท่ามกลางกระแสถกเถียงเรื่อง GENIUS Act โดยมีสมาชิกวุฒิสภาบางรายตั้งคำถามว่า Meta เองก็อาจมีแผนคล้ายกันหากกฎหมายผ่าน
Scott Bessent รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ โพสต์ผ่าน X เมื่อวันอังคารว่า “รายงานล่าสุดคาดว่า ตลาด Stablecoin อาจเติบโตแตะ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากขึ้นหาก GENIUS Act ผ่านสภา”
CLARITY Act จ่อเข้าสู่การโหวต สร้างโครงสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ขณะเดียวกัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็กำลังรอการโหวตร่างกฎหมาย CLARITY Act ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบโครงสร้างตลาดที่ชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยร่างกฎหมายนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการการเกษตรและคณะกรรมาธิการด้านบริการการเงินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเข้าสู่การลงมติเต็มสภาในเร็ววันนี้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านจากพรรคเดโมแครตยังคงเน้นประเด็นความเชื่อมโยงของประธานาธิบดี Trump กับวงการคริปโต โดย Bartlett Naylor นักเคลื่อนไหวด้านนโยบายการเงินจากกลุ่ม Public Citizen กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“ในขณะที่ร่างกฎหมายเหล่านี้กำลังก้าวหน้า สมาชิกสภานิติบัญญัติกำลังละทิ้งโอกาสที่จะตรวจสอบการหาประโยชน์จากคริปโตของ Trump ซึ่งอาจเป็นการทุจริตในระดับประธานาธิบดีที่โจ่งแจ้งที่สุดในประวัติศาสตร์ ร่างกฎหมายเหล่านี้กำลังให้ความชอบธรรมกับสิ่งที่แท้จริงแล้วอาจเป็นกลลวงขนาดมหึมาภายใต้ธงชาติอเมริกัน”
อ้างอิง : Cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล
Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว