การใช้ Bitcoin แบบผิดกฎหมายลดลง สวนทางกับการฟอกเงินผ่าน Private Wallet
เห็นได้ชัดว่าปี 2020 เป็นปีแห่งการใช้งาน “กระเป๋าเงินแบบส่วนตัว” เนื่องจากเหล่าผู้ให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนนั้นจริงจังในข้อกำหนด KYC มากขึ้น แต่ทว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะกำลังกลายเป็นดาบสองคมอยู่ก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าปี 2020 เป็นปีแห่งการใช้งาน “กระเป๋าเงินแบบส่วนตัว” เนื่องจากเหล่าผู้ให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนนั้นจริงจังในข้อกำหนด KYC มากขึ้น แต่ทว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะกำลังกลายเป็นดาบสองคมอยู่ก็เป็นได้
Elliptic ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกเชนได้พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแนวโน้มในการใช้ Crypto แบบผิดกฎหมาย
โดยจากการศึกษาของบริษัทที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่าสัดส่วนของการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin (BTC) ที่ทาง บริษัทสามารถเชื่อมโยงเข้ากับกิจกรรมทางอาญานั้นลดลงอย่างแน่นอนเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2012
Tom Robinson หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Elliptic อธิบายกับสื่อมวลชนว่านี่เป็นผลมาจากแนวโน้มหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรม Crypto ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบริการการแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น การบังคับใช้กฎหมายทั้งหลาย และการเติบโตของเหล่าบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Elliptic เอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น Robinson ยังกล่าวอีกว่าการใช้โดยงานทั่วไปนั้นได้โตเป็นพลุแตก
“กรณีตัวอย่างการใช้งานของ Crypto ในรูปแบบอื่น ๆ (ที่นอกเหนือจากสิ่งผิดกฎหมาย) กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยการเก็งกำไรถือเป็นการใช้งานที่โดดเด่นที่สุด ซึ่ง Crypto ส่วนใหญ่จะถูกส่งระหว่างบริการการแลกเปลี่ยนเท่านั้น และมูลค่าของธุรกรรมเหล่านั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเลยแม้แต่น้อย”
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีก็ยังคงค้นหาวิธีใหม่ ๆ ในการสร้างผลกำไรแบบไม่ชอบมาพากลผ่านอุตสาหกรรม Crypto ซึ่งทาง Elliptic ตั้งข้อสังเกตว่าการละเมิดกฎหมายด้วย Crypto Mixing หรือบริการที่ช่วยปกปิดการทำธุรกรรมคริปโตนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่าการใช้งานเหล่า Private Wallet หรือกระเป๋าเงินส่วนตัวไปในทางมิชอบกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ซึ่งการเพิ่มแรงกดดันทางกฎหมาย และการตั้งข้อหาทางอาญาต่อผู้ประกอบการอาจเปลี่ยนให้อาชญากรเลิกพึ่งพา Crypto Mixing หลังจากใช้มันมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสิ่งนี้อาจต้องขอบคุณบริษัททั้งหลายไม่ว่าจะเป็นตัว Elliptic เอง หรือแม้แต่คู่แข่งอย่าง Cyphertrace และ Chainalysis ที่สามารถติดตามเหรียญผ่าน Mixer (บริการปกปิดการทำธุรกรรม) ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
แต่แล้วการเผชิญหน้ากับการเรียกร้องของระบบ Know Your Customer (KYC) ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นได้ทำให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนทั้งหลายได้สูญเสียพื้นที่ของพวกเขากลายไปเป็นปลายทางสำหรับการใช้ Crypto แบบผิดกฎหมาย โดยดูได้จากยอดกระเป๋าเงินส่วนตัวได้พุ่งสูงขึ้น
David Carlisle จาก Elliptic กล่าวว่า
“แนวโน้มที่สำคัญที่สุดที่เราสังเกตเห็นคือการใช้กระเป๋าสตางค์เพื่อความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้น เช่น Wasabi Wallet ในกระบวนการการฟอกเงิน โดยในปี 2020 อย่างน้อย 13% ของรายได้ทางอาญาทั้งหมดใน Bitcoin ถูกส่งผ่านกระเป๋าเงินส่วนตัวซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2019”
อย่างไรก็ตาม Elliptic มีความรู้ที่จำกัด กี่ยวกับต้นกำเนิดความผิดทางอาญาหรืออื่น ๆ ของเงินที่ต้องผ่านกระเป๋าเงินส่วนบุคคลเหล่านี้ แต่ในการตอบคำถามที่ว่า Elliptic รู้ได้อย่างไรว่า Bitcoin ผ่าน Wasabi Wallet นั้นเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือไม่? Tom Robinson ก็ระบุเอาไว้ว่า
"โดยทั่วไปเราดูแบบตรง ๆ ไม่ได้ – เราเพียงสามารถดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และอะไรกำลังจะออกมา แต่เรายังไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้"