อัตราส่วน Ethereum:Bitcoin พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง สิ่งนี้หมายถึงอะไรกันแน่?
อัตราส่วน Ethereum:Bitcoin (ETH:BTC Ratio) พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสามปีครึ่ง โดยมีปัจจัยพื้นฐาน และชาร์ตทางเทคนิคที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
อัตราส่วน Ethereum:Bitcoin (ETH:BTC Ratio) พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสามปีครึ่ง โดยมีปัจจัยพื้นฐาน และชาร์ตทางเทคนิคที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่ราคาบิทคอยน์ (BTC) และสกุลเงินดิจิทัลหลายตัวร่วงลงในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะมีอย่างหนึ่งที่สดใสนั่นคือ ETH/BTC ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง และมีการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์อย่างสวยงามที่สุด นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ปัจจัยหลายประการ รวมถึงการอัพเกรด EIP-1559 ของบล็อกเชน Ethereum เมื่อเดือนสิงหาคม ดูเหมือนจะช่วยให้ ETH/BTC เพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง (risk-off) มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรที่อยู่เบื้องหลังบ้าง
ความเสี่ยงระดับมหภาคต่อ Bitcoin
การมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินในบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้คริปโตเคอเรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยระดับมหภาคมากขึ้น
ราคาบิทคอย์ฟื้นตัวขึ้นมาได้ หลังจากที่ร่วงลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่นาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณถึงความรู้สึกไม่สบายใจกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความคาดหวังของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุควิกฤตที่อาจจบลงเร็วขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Evergrande ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ได้ออกมาเตือนถึงการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรดอลลาร์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางเร่งรัดนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น
ในระยะสั้นนี้ ประเด็นข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ Omicron ปัจจัยจากจีน รวมถึงปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อบิทคอยน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดจะจับตามองรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในศุกร์นี้อีกด้วย
EIP-1559 และ ETH 2.0
EIP 1559 ซึ่งเป็นข้อเสนอการปรับปรุง Ethereum ที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ได้ทำให้ ETH เป็นสินทรัพย์เงินฝืด โดยมีกลไกในการทำลายหรือเผาเหรียญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กับผู้ขุด นั่นทำให้นโยบายการเงินของ Ether แตกต่างจากการพิมพ์เงินดอลลาห์อย่างต่อเนื่องหลายปีของ Fed
ในขณะที่บิทคอยน์มีกลไกที่เรียกว่า "reward halving" ที่ช่วยลดอุปทานลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ สี่ปี Ethereum เองก็มี EIP-1559 ที่เชื่อมโยงปริมาณของเหรียญที่ถูกเผากับการใช้งานเครือข่าย Ethereum ซึ่งเป็นโปรแกรมบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) รวมถึงภาคส่วนคริปโตที่เฟื่องฟูอื่น ๆ เช่น การเล่นเกม และโทเค็น Non-fungible token (NFT) อีกด้วย
ข้อมูลจาก Watch The Burn เผยว่า นับตั้งแต่มีการใช้งาน บล็อกเชนของ Ethereum ได้เผาเหรียญไปมากกว่า 1 ล้าน ETH นับเป็นมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้อุปทานสุทธิลดลงถึง 68%
ตลาดรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับการเปลี่ยนแปลงของ Ethereum ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นจุดสิ้นสุดของกลไก Proof-of-Work (PoW) และเปลี่ยนไปสู่ Proof-of-Stake (PoS)
Lucas Outumuro จากบริษัทวิเคราะห์จาก IntoTheBlock คาดการณ์ว่า การออก ether จะลดลง 90% หลังจาก The Merge เนื่องจากเหรียญจะไม่ถูกแจกจ่ายให้กับเหล่านักขุดอีกต่อไป
นอกจากนี้ The Merge จะทำให้ Ethereum เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
จะเป็นอย่างไรต่อไป?
อาจจะเร็วเกินไปที่จะเรียก ETH ว่าเป็นสวรรค์แห่งใหม่ของตลาดคริปโต แต่โทเค็นที่ขับเคลื่อนบล็อคเชนของ Ethereum อาจยังคงมีผลตอบแทนที่เหนือกว่า Bitcoin ที่มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค
คริปโตเคอร์เรนซีจะยังคงได้รับแรงผลักดันจากความเสี่ยงในตลาดอื่น ๆ” เช่น ความกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่ของโควิด เช่นเดียวกับการลดซื้อสินทรัพย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประเด็นหลักในช่วงที่เหลือของไตรมาสที่ 4”
ชาร์ตทางเทคนิคระบุว่า เส้นทางสู่แนวต้านสำหรับอัตราส่วน ETH/BTC นั้นสูงขึ้น
“ETH/BTC เพิ่งทะลุออกจากรูปแบบราคาธงขาขึ้น (Bull Flag) ซึ่งเป็นรูปแบบราคาต่อเนื่องของตลาดกระทิง”
จากมุมมองพื้นฐาน Ethereum มีทั้ง DeFi, NFT และ metaverse ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง ในขณะที่ Bitcoin มีเพียงอัพเกรด taproot เท่านั้น จากมุมมองด้านพฤติกรรม ราคา เงินทุนเริ่มไหลเข้า ETH มากกว่า BTC
ในขณะที่เขียน ETH/BTC ซื้อขายที่ 0.087636 และกำลังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นต่อไป ราคาบิทคอยน์กำลังซื้อขายที่ 49,500 ดอลลาห์ และ Ethereum ซื้อขายที่ 4,342 ดอลลาห์ในตอนนี้
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ