การลงทุน

3 กลยุทธ์เด็ด! เทรดคริปโตฯ ยังไงให้รอดใน 'ตลาดขาลง'

Template Private 2022 09 03 T120957.577.png

เปิด 3 ไม้ตาย เทรดคริปโตยังไงให้รอดใน 'ตลาดขาลง' ตามความเสี่ยงที่รับไหว พร้อมวิเคราะห์กราฟ Crypto Winter ย้อนหลัง คาดการณ์ระยะเวลาขาลงครั้งนี้สิ้นสุด!

แน่นอนว่าทุกคนคงเห็นกันแล้วว่าตลาดช่วงนี้ไม่ใจดีกับนักลงทุนเลย ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาราคาคริปโตก็ดิ่งต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ราคา Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETC) ก็ดิ่งลงมาแล้วเฉียด -60% ตั้งแต่เริ่มต้นปี ยังไม่นับเหรียญอื่นๆ ที่ดิ่งลงมาแล้วทะลุ -70% -80% ในระยะเวลาไม่ถึง 12 เดือน สร้างความเจ็บปวดให้นักเทรดคริปโต

ปฎิเสธไม่ได้ว่าจุดที่เราอยู่ขณะนี้คือ 'Crypto Winter' เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี และกินระยะเวลาราว 3 ปีก่อนที่ราคาจะกลับมาถึงจุดสูงสุดเดิม และเข้าสู่ Loop ขาขึ้นครั้งใหม่ อย่างในช่วงปี 2014, 2018 และ 2021 ที่ผ่านมา

การที่ปี 2022 จะเป็นขาลงทั้งปีจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเสียเท่าไร และค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอยเดิมเป็นที่เรียบร้อย

แล้วนักลงทุน นักเทรด อย่างเราๆ ควรจะปฎิบัติตัวอย่างไรในตลาดนี้ดี วันนี้ทาง CryptoSiam ได้หยิบยก 3 กลยุทธ์แนะนำจาก Cointelegraph ที่ดูเหมาะสมกับสภาพตลาดนรกเช่นนี้ และสามารถนำไปทดลองปฎิบัติได้อย่างดีตามความเสี่ยงที่รับไหว

1. เปิด Long ไปเลย! - ความเสี่ยงสูง

ก่อนเริ่มต้นข้อนี้กัน อาจจะต้องเตือนกันตัวหนาๆ เลยว่านี่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงพอสมควร แนะนำสำหรับนักลงทุนที่เก๋าพอสมควรจะดีกว่า แต่ถ้ามือใหม่อยากลองศึกษาไว้ ลองเล่นแบบ Demo ดูก็ไม่เสียหายนะ

สำหรับนักลงทุนประสบการณ์สูงอยู่แล้วอาจจะไม่ต้องอธิบายกันมาก เห็นหัวข้อก็คงรู้กันดีว่าคืออะไร แต่สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจอาจจะต้องปูพื้นฐานกันหน่อย

การ 'Long' คือส่วนหนึ่งของการเทรดคริปโตแบบ 'ฟิวเจอร์ส' หรือ 'Futures' ที่เปรียบเทียบเหมือนการทำนายกับราคาอนาคตของเหรียญนั้นๆ สินทรัพย์นั้นๆ ว่าในอนาคตราคาจะขึ้น หรือจะลง ถ้าทำนายถูกฝั่งก็ได้กำไรกลับไป โดยการ 'Long' ก็คือทายว่าราคาจะขึ้น และ 'Short' ก็คือทายว่าราคาจะลง

Template Private 2022 09 03 T121245.024 1024x538.png
Long - Short คืออะไร? - IG.com

ทำให้แม้ว่าในช่วงขาลงหนักๆ ชาวฟิวเจอร์สทำนายว่าราคาจะลงแล้วทายถูกก็ยังสามารถทำกำไรได้จากตลาดหมี เช่นเดียวกันกับขาขึ้น แต่ที่เสี่ยงหนักๆ เสี่ยงมากกว่าการซื้อเหรียญขายเหรียญทั่วไปก็คือฟิวเจอร์สนั้น 'สามารถลงทุนเกินตัวได้' จึงทำให้เข้าแก๊บ 'ได้เร็วเสียเร็ว' ไปได้หากไม่ระวังตัว ไม่ว่าจะโดนความโลภครอบงำหรืออะไรก็ตาม

เอาละกลับเข้ามาเรื่อง Long กับตลาดช่วงนี้กัน วิธีนี้อาจจะเหมาะกับใครที่อ่านกราฟเป็น ติดตามข่าวสารบ่อยๆ โดยเฉพาะการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ต่างๆ ได้ ก็อาจเพิ่มโอกาสมหาศาลให้เราสามารถฟันกำไรจากตลาดนี้ไปได้

อย่างเช่นถ้าหากเราิเคราะห์อิดิเคเตอร์จากกราฟแล้วพบว่ามี 2 อินดิเคเตอร์เป็นอย่างน้อย ที่กำลังชี้สัญญาณแปลกไปจากปกติ อย่างเช่น RSI แตะ Oversold, กราฟแตะแนวรับสำคัญ หรือหลังจากถูกเทขายอย่างหนัก โอกาสที่ทำให้ราคากลับตัวขึ้นมาเป็นบวกก็อาจจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาลงอย่างนี้ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าสัญญาณซื้อจากอินดิเคเตอร์ต่างๆ ก็มันจะโผล่มาให้เห็นบ่อยกว่าปกติ แต่จะเป็นไปตามสัญญาณไหมอันนั้นก็อีกเรื่อง

แต่ทั้งนี้ก็ต้องย้ำว่าควรจะบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี รู้ตัวตัวเองให้ได้ว่ารับความเสียหายได้แค่ไหน โดยเฉพาะตลาดฟิวเจอร์สที่ทำหลายต่อหลายคนหมดตัว จากเศรษฐีกลายเป็นยาจกในไม่กี่นาที ก็มีให้เห็นมาแล้วนักต่อนัก

ช่วงแรกเข้าวงการ ผมลองเทรดแบบ margin ได้กำไรวันละ 1-150,000 บาท เพราะเค้าให้เรายืมเงินเทรดเป็น 10 เท่า ผมนึ่ฝันใหญ่เลย ทำไมมันได้ง่ายแบบนี้ แต่แล้วฝันสลาย เพราะความไม่มีประสบการณ์ เจอปลาวาฬทุบราคา ต้องรีบคัทลอส หมดเป็นแสน สรุปที่ได้มากับเสีย ในการเทรดแบบมาร์จิ้น พอๆกันเลย เลยเลิก เพราะมันคล้ายการพนัน กลัวเสียมากกว่านี้ แต่ตอนหลังมาลองเทรดแบบฟิวเจอร์ ก้อเหมือนเดิมอีก ได้ง่ายๆหลายหน แต่พอเสียครั้งนึง ที่เคยได้มาหายหมดเลย ตอนนี้เลยเลิกแระครับ หันมาเทรดแบบ spot กับลง defi นอนหลับสบายเยอะเลยครับ

ความคิดเห็นหนึ่งเกี่ยวกับการเทรด Futures - Pantip.com

2. DCA เข้าไปสิ! - ความเสี่ยงกลาง

ก่อนอื่นต้องทำความรู้จัก DCA กันก่อน เปรียบเทียบง่ายๆ มันก็เหมือนกับการเทรดคริปโตแบบ 'ฝากประจำ' นั่นเอง แต่ในโลกการลงทุนจะเป็นการทยอยซื้อสินทรัพย์นั้นๆ ในราคาเท่าเดิม อย่างเช่นเราตัดสินใจว่าจะซื้อ BTC เดือนละ 1,000 บาท เราก็ซื้อ 1,000 บาททุกเดือนโดยที่ไม่ต้องไปสนใจราคา ไม่ต้องไปสนใจกราฟอะไรทั้งนั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง: DCA คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง! - CryptoSiam

ถ้าถามว่ามันจะเวิร์คจริงหรอ? ที่จะบอกให้มา DCA ในตลาดช่วงนี้... คำตอบคือที่ผ่านมามันเวิร์คมาโดยตลอด (แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าครั้งนี้จะเวิร์คหรือไม่) โชคดีที่เรามีเครื่องมือที่ช่วงคำนวณการ DCA สำหรับ Bitcoin โดยเฉพาะมาช่วยให้เราเห็นภาพได้ง่ายมากขึ้น

อ้างอิงจาก DCABTC.com เว็บไซต์ที่จะช่วยเราดูได้ว่าเมื่อเราตัดสินใจ DCA ในจำนวนเงินเท่านี้ ต่อเดือน, ต่อสัปดาห์, ต่อวัน หรืออื่นๆ ผ่านไปกี่เดือนกี่ปีเราจะได้กำไรหรือขาดทุนไปเท่าไร

ถ้าหากลองใส่ค่าว่า ลงทุน 1,000 บาทต่อเดือนตั้งแต่ 1 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ก็จะพบว่าจนถึงในขณะนี้มูลค่าที่เราลงทุนลดลงไปแล้วราว -10% ...

Image 5 1024x500.png
DCA 1,000 บาท 1 ปี - DCABTC.com

อ่าว ละไหนว่าเวิร์ค? ลองย้อนกลับไปเมื่อ Crypto Winter ครั้งก่อนๆ ถ้าหากใส่ค่าว่าเริ่มต้น DCA ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 และก็ DCA มาตลอดจนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามูลค่าการลงทุนของเราเพิ่มขึ้นไปถึง 270% ตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยต้นทุนทั้งหมดอยู่แค่ 48,000 บาท แต่มูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ราว 1.8 แสนบาท

Image 4 1024x496.png
DCA 1,000 บาท 4 ปี - DCABTC.com

นี่แค่ 4 ปี ถ้าหากย้อนกลับไปเริ่มต้นในปี 2014 Crypto Winter ครั้งแรก และเรา DCA มาตลอด จนถึงตอนนี้เราจะได้กำไรไปถึงกว่า 3,800% ในระยะเวลา 8 ปีเท่านั้น เท่ากับว่าต้นทุนเราอยู่ที่ 9.7 หมื่นบาท แต่มาวันนี้มีมูลค่าอยู่ถึงเกือบ 4 ล้านบาท

Image 3 1024x500.png
DCA 1,000 บาท 8 ปี - DCABTC.com

โดยการ DCA นี่เองจะทำให้เราตัดความกังวลเรื่องราคาออกไปได้มหาศาล ไม่ต้องเสียเวลามาเปิดกราฟดูอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจอารมณ์ ไม่ต้องสนใจคนที่มาบอกว่า Bitcoin ตายแล้ว หรืออะไรก็ตาม เพียงแค่เรามีความเชื่อใน Asset นั้นๆ ว่ามันจะสามารถไปต่ออีกได้ไกล ยังไม่ตายในระยะเวลาที่เราคาดการณ์ไว้ก็พอแล้ว

แต่ย้ำอีกครั้งว่าไม่มีใครที่สามารถทำนายได้ว่าหลังจากนี้ราคา Bitcoin จะซ้ำรอยอดีตอีกครั้งหรือไม่ ถ้าซ้ำรอยก็ดีไป แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาผิดแปลกไปจากเดิมก็แน่นอนว่าตัวนักลงทุนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับการตัดสินใจลงทุนเอง

3. นั่งเฉยๆ รอขาขึ้น - ความเสี่ยงต่ำ

ถ้ารู้สึกว่า 2 ข้อก่อนหน้ามันยังไม่ดีพอ จะเสี่ยงไปหรืออะไรก็ตาม การ 'อยู่เฉยๆ' ในตลาดช่วงนี้ก็ไม่ใช่ความผิดอะไรเลย

แน่นอนคนเรารับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน บางคนมีภาระ มีหนี้มีสิน มีอะไรต้องแบกรับเยอะแยะ การที่จะเอาเงินมาเสี่ยงกับสินทรัพย์สุดเสี่ยงอย่างคริปโตอาจจะไม่ใช่อะไรที่ฟังดูดีเสียเท่าไร โดยเฉพาะตลาดขาลงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนต่างๆ นานา ดังนั้นรออีก 1-3 ปี ดูให้มั่นใจว่าตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นแน่ๆ ให้ความไม่แน่นอนเหล่านั้นลดลงก่อนค่อยกลับมาลงทุนก็ยังไม่เสียหาย

แน่นอนว่าบางคนคิดตรงกันข้าม มองว่าตลาดขาลงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเก็บของเพื่อสะสมพลังสำหรับขาขึ้นครั้งต่อไปเหมือนกับที่ตลาดเคยเป็นมาก่อนหน้า แต่ก็กล้าพูดเลยว่าไม่มีใครที่มั่นใจ 100% หรอกว่ามันจะขึ้นต่อแน่ๆ จะเซียนเทพแค่ไหนในใจลึกๆ ก็คงต้องแอบหวั่นบ้าง

ดังนั้นสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ได้ศึกษาลงลึก หรือใครที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในจุดนี้ได้ การ 'อยู่เฉยๆ' ก็อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะที่สุด และก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ 'เซฟที่สุด' อีกด้วย

ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

  • ปี 2014
    • ราคาดิ่ง: -78%
    • ระยะเวลา: 37 เดือน (ก่อนกลับมา All-time high)
    • ระยะเวลาถึงจุดต่ำสุด: 417 วัน
Copy of Template Crypto ประเภทบทความ Edited.png
Crypto winter ปี 2014 - TradingView
  • ปี 2018
    • ราคาดิ่ง: -83%
    • ระยะเวลา: 35 เดือน (ก่อนกลับมา All-time high)
    • ระยะเวลาถึงจุดต่ำสุด: 364 วัน'
Copy of Template Crypto ประเภทบทความ 1 Edited.png
Crypto winter ปี 2018 - TradingView

ดังนั้นจากข้อมูลในอดีตแล้ว เราก็คาดการณ์ได้ว่ารอบล่าสุดนี้ที่ราคา Bitcoin ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 ก็อาจจะกินเวลาราว 3 ปี ก่อนจะกลับมาที่ All-time high อีกครั้ง และใช้เวลาราว 1 ปีราคาถึงจะดิ่งลงไปต่ำสุดของรอบ

Copy of Template Crypto ประเภทบทความ 2 Edited.png
Crypto winter ปี 2021 - TradingView

และแน่นอนต้องย้ำว่านี่เป็นการคาดการณ์จากข้อมูลในอดีตเท่านั้น ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะเป็นไปตามคาดการณ์ หรือแม้แต่ราคาจะกลับมาขึ้นอีกครั้งหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบได้ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับวิจารณะญาณของนักลงทุนในการตัดสินใจ และต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้แม้ว่าจะเป็น Worst-case scenario ก็ตาม

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

BlackRock สร้างปรากฏการณ์! ยอดเงินไหลเข้ากองทุน Spot Bitcoin ETF ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว
มูลค่าการถือครอง Bitcoin ของ MicroStrategy พุ่งทะลุ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนเกินกว่า 100%
Bitcoin พุ่งแตะ 81,000 ดอลลาร์ นักเทรดสาย Short ถูกล้างพอร์ต 180 ล้านดอลลาร์ภายในครึ่งวัน
นักวิเคราะห์คาด Ethereum มีโอกาสทะลุ 3,200 ดอลลาร์ หลังยอดการซื้อขายของ ETF กลับมาเป็นบวก