ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเผชิญกับการล้างพอร์ตครั้งใหญ่มูลค่าเกือบ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังราคา Bitcoin ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 69,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
Coinglass เผย ภายใน 24 ชั่วโมง มีนลท.โดนล้างพอร์ตรวมกันมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ - หลัง Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย
ราคาบิทคอยน์พุ่งกลับมาแตะระดับ 22,400 ดอลลาร์ - ล้างกระดานนักซิ่งสาย Short พอร์ตแตกเรียบกว่า 150 ล้านดอลลาร์
ข้อมูลจาก Coinglass เผย ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีนลท.โดนล้างพอร์ตรวมกันมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ BTC กลับตัวสู่ระดับแนวรับที่ 20,000 ดอลลาร์
ข้อมูลจาก Coinglass เผย เมื่อวานมีนลท.โดนล้างพอร์ตรวมกันมากกว่า 176 ดอลลาร์ รับตลาดสีเขียว ขณะที่ BTC แตะระดับ 19,000 ดอลลาร์ได้แล้ววันนี้
การเคลื่อนไหวของวาฬในตลาด Bitcoin บ่งชี้ว่าราคากำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากกระแสเงินไหลเข้าจากวาฬไปยังแพลตฟอร์มซื้อขายเริ่มลดลง
ราคาหุ้นของ Metaplanet พุ่งขึ้น 4,800% ในช่วงปีที่ผ่านมา หลังบริษัทเดินหน้าสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง จนได้รับฉายาว่า "MicroStrategy แห่งเอเชีย"
นักวิเคราะห์ Matthew Hyland คาดการณ์ว่า ราคาของ Altcoin อาจไม่กลับไปแตะระดับสูงสุดของเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้ก่อนเดือนเมษายนปีนี้
โอกาสที่ Bitcoin จะปรับตัวลงต่ำกว่า $75,000 ในไตรมาสแรกของปีนี้ยังคงต่ำกว่า 10% แม้ตลาดจะเผชิญความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตามการวิเคราะห์ของ Sean Dawson จาก Derive
Bitcoin ปรับตัวลดลงแตะ $102,220 ก่อนจะกลับขึ้นมาที่ $105,000 หลังประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามคำสั่งพิเศษจัดตั้งคณะทำงานเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมวางแนวทางสร้างคลังสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งชาติ ท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนที่ผิดหวังจากการขาดนโยบายเกี่ยวกับทุนสำรอง Bitcoin โดยเฉพาะ
Ripple Labs ผู้พัฒนาบริการชำระเงินระดับโลกบนบล็อกเชนและเจ้าของเหรียญคริปโต XRP ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการได้รับใบอนุญาตผู้ให้บริการโอนเงินจากรัฐเท็กซัสและนิวยอร์ก ส่งผลให้บริษัทถือครองใบอนุญาตในเขตอำนาจศาลต่างๆ รวมแล้วมากกว่า 50 ฉบับ
Bitcoin ส่อแววเดินรอยตามเส้นทางการเติบโตของราคาทองคำ เปิดโอกาสให้ราคาอาจพุ่งทะลุไปถึงระดับ 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์ชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนการปรับตัวของ Bitcoin สู่จุดสูงสุดใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งสร้างความท้าทายให้กับนักลงทุนที่คาดหวังการปรับตัวลงของราคา
