ยอด Open Interest ของ Bitcoin ฟิวเจอร์สแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางกระแสความคาดหวังราคาทำจุดสูงสุดใหม่
ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดันยอดสัญญาฟิวเจอร์ส Bitcoin พุ่งแตะ 72,000 ล้านดอลลาร์ และหากราคาสามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 108,000 ดอลลาร์ได้ อาจปูทางสู่การเติบโตของตลาดคริปโตในระยะยาว

ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดันยอดสัญญาฟิวเจอร์ส Bitcoin พุ่งแตะ 72,000 ล้านดอลลาร์ และหากราคาสามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 108,000 ดอลลาร์ได้ อาจปูทางสู่การเติบโตของตลาดคริปโตในระยะยาว
ยอดการถือครองสัญญา Bitcoin ฟิวเจอร์สแบบเปิด (Open Interest) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 72,000 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา สะท้อนถึงการใช้เลเวอเรจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหมู่นักลงทุนสถาบัน และอาจเป็นแรงผลักดันให้ราคา Bitcoin ทำจุดสูงสุดใหม่ หากสามารถทะลุระดับแนวต้านสำคัญได้
ข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่า มูลค่าของสถานะ Short ที่กระจุกตัวอยู่ในช่วงราคาระหว่าง 107,000 ถึง 108,000 ดอลลาร์มีมูลค่าสูงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหาก Bitcoin ทะลุแนวต้านนี้ได้ ก็อาจนำไปสู่การล้างสถานะ (Short Squeeze) และกระตุ้นให้เกิดแรงซื้ออย่างรุนแรง
แม้ Bitcoin จะมีความพยายามหลายครั้งในการกลับไปยืนเหนือ 107,000 ดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณเลเวอเรจที่หนาแน่นในตลาดอาจทำให้แรงกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะส่งผลให้ราคาเกิดการทะลุแนวต้าน และเปิดทางสู่จุดสูงสุดใหม่
นักลงทุนสถาบันแห่เข้าตลาดฟิวเจอร์ส
ในบรรดาแพลตฟอร์มที่มีการซื้อขาย Bitcoin ฟิวเจอร์ส แพลตฟอร์มที่มีมูลค่าของสัญญามากที่สุดคือ Chicago Mercantile Exchange (CME) ตลาดซื้อขายอนุพันธ์ของอเมริกา ครองอันดับหนึ่งด้วยยอด Open Interest ที่ 16,900 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Binance ที่มีอยู่ราว 12,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของนักลงทุนสถาบันในฐานะกลุ่มผู้ขับเคลื่อนหลักของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพิ่มแรงจูงใจให้นักลงทุนหันมาหาสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยง เช่น Bitcoin โดยเฉพาะในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 5% เทียบกับ 4.82% เมื่อสองสัปดาห์ก่อน
หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเข้ามาเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรายสุดท้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ก็อาจนำไปสู่แรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ และเปิดทางให้นักลงทุนเปลี่ยนพอร์ตเข้าสู่สินทรัพย์อย่าง Bitcoin มากขึ้น
ทองคำยังเป็นเจ้าตลาด แต่ Bitcoin เริ่มดึงสภาพคล่อง
แม้ทองคำจะยังคงครองความเป็นผู้นำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง โดยมีมูลค่าตลาดถึง 22 ล้านล้านดอลลาร์ และให้ผลตอบแทนแล้ว 24% ตั้งแต่ต้นปี 2025 แต่ด้วยขนาดของตลาดที่ใหญ่มาก ทำให้เริ่มมีนักลงทุนพิจารณาหาสินทรัพย์ทางเลือกใหม่อย่าง Bitcoin ซึ่งมีมูลค่าตลาดราว 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือใกล้เคียงกับมูลค่าของโลหะเงิน
ในบางประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ มีรายงานว่ากำลังอยู่ระหว่างการวางแผนโยกเงินสำรองบางส่วนจากทองคำไปยัง Bitcoin ซึ่งหากเกิดการจัดสรรเพียง 5% ของมูลค่าทองคำเข้าสู่ Bitcoin ก็จะหมายถึงเงินไหลเข้าสูงถึง 105,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้าน BTC ที่ราคาประมาณ 105,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ
เมื่อเทียบกับ MicroStrategy บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Michael Saylor ปัจจุบันถือครอง Bitcoin อยู่ที่ 576,230 BTC ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทของนักลงทุนสถาบันในฐานะตัวเร่งสำคัญที่อาจช่วยผลักดันให้ราคา Bitcoin ทะลุแนวต้าน 108,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง
แม้แนวโน้มในตลาดจะยังคงเป็นบวก แต่ภาวะเศรษฐกิจในระดับโลกที่ยังเปราะบางยังคงเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวม อย่างไรก็ตาม หากสถานะ Short จำนวนมากต้องถูกบังคับชำระ ก็อาจกลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยเร่งให้ Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดใหม่ในอีกไม่ช้า
อ้างอิง : Cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล
Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว