General

เหตุใดฮ่องกงจึงกลายเป็นแหล่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำแห่งเอเชีย

Photo 1492681290082 E932832941e6.jpg

เรามาดูกันว่าอะไรคือผลงานที่ทางรัฐบาลร่วมกับคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง ได้ทำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้วันที่ฮ่องกงก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์แห่งเอเชียนั้นมาถึง

ภายหลังจากกระทรวงการคลังเมืองฮ่องกง หรือ The Hong Kong Monetary Authority (HKMA) ได้อนุมัติใบประกอบกิจการธนาคารเสมือนจริง (Virtual Bank Licenses) ทั้งสิ้น 8 ใบ ก็ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่แก่สินทรัพย์ดิจิทัลในดินแดนแห่งนี้และมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีอะไรมาหยุดความยิ่งใหญ่ของฮ่องกงได้อีกต่อไป

ปี 2020 นั้นเกิดพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด

ธนาคารทั้งหลายที่ได้รับใบอนุญาตดังกล่าวก็ได้เริ่มเปิดให้บริการในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปี 2020 ซึ่งพัฒนาการที่เห็นได้เด่นชัดปรากฎขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการเปิดบัญชีนั่นก็คือ การที่ลูกค้าสามารถถ่ายรูปภาพผ่านโทรศัพท์มือถือของพวกเขาและส่งมาให้ทางธนาคาร เท่านี้ก็จะสามารถทำการเปิดบัญชีได้อย่างง่ายดาย

ต่อมาในเดือนพฤษภาคมทางคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง หรือ Securities and Futures Commission (SFC) ก็ได้ออกมาอนุมัติให้มีการจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นเป็นแห่งแรกในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการควบคุมกองทุนสินทรัยพ์ดิจิทัลจะเปิดให้บริการในตลาดเร็ว ๆ นี้

คำว่า “การควบคุม” ในที่นี้หมายถึงการที่นักลงทุนทุกคนจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ SFC และตามกระบวนการทางกฎหมายนั้นระบุให้ทางบริษัทจัดการสินทรัพย์จะต้องส่งรายงานเกี่ยวกับการเงินประจำเดือนให้กับทาง SFC ซึ่งอยู่ในสถานะผู้ดูแล

ท้ายที่สุดภายในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) ได้อนุมัติใบอนุญาตแลกเปลี่ยนการเสนอขายหลักทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล หรือ Security Token (STO) Exchange Licenses ถึงสองใบ ด้วย Securities Token Offering (STO) จะช่วยให้โครงการ SME หรือ โครงการสร้างอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ เกิดสภาพคล่องมากยิ่ง ๆ ขึ้นกว่าแต่ก่อน

โดย BC Group(หุ้นรหัส 863 HK) ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการอนุมัติด้วยเช่นกัน ภายหลังจากข่าวดีในครั้งนี้ก็ทำให้ราคาหุ้นของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัวภายในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา

สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต่างก็ให้ความสำคัญกับบริษัทเทคโนโลยีในด้านธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในตอนนี้บริษัททั้งหลายก็ได้เสนอบริการด้านการศึกษาในหัวข้อเกี่ยวกับ “อะไรคือสินทรัพย์ดิจิทัล และความเสี่ยงของสินทรัพย์เหล่านั้น”

นอกจากนโยบายที่เอื้ออำนวยแล้ว สภาพแวดล้อมด้านการลงทุนก็เป็นสิ่งจำเป็น

ตามที่ CryptoSiam เคยรายงานไปก่อนหน้านี้แล้วว่าสาเหตุที่ฮ่องกงถูกเลือกให้เป็นเป้าหมายหลักของการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลนั้นก็เพราะดินแดนดังกล่าวถือเป็น "เมืองที่เปิดกว้าง และเป็นสากลที่สุด" ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และเทคโนโลยีที่สำคัญในเอเชีย ทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศหลายแห่ง ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยฐานลูกค้าใหม่ที่อยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจนี้มากถึง 100 ล้านคนเลยทีเดียว

ซึ่งหากมีคำถามว่าในจำนวน 100 ล้านคนนั้นมีศักยภาพด้านการลงทุนมากเท่าใด ก็ต้องย้อนไปเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา โดยรายงานของทางคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง หรือ Securities and Future Commission (SFC) ได้ชี้ให้เห็นว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนทุกประเภทที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ หรือ Asset Under Management (AUM) อยู่ที่ 28.796 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือมีมูลค่าพุ่งขึ้นจากปีก่อนถึง 20% ทั้งนี้สำหรับกองทุนหลักของคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ และตลาดซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) เองก็ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแตะ 15% เช่นเดียวกัน โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มนักลงทุน และความพร้อมของผู้จัดการกองทุน

และหากหน่วยงานควบคุมการให้บริการด้านธนาคาร, บริษัทจัดการสินทรัพย์ต่าง ๆ และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน Security Token ต่างดำเนินการสนับสนุนซึ่งกัน และกันอย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดวันที่ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งเอเชียก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

เหรียญคริปโตกลุ่ม AI และ Big Data พุ่งทะยาน 131% ท่ามกลางกระแสขาขึ้นของ Bitcoin
Bitcoin พลิกเกม! MicroStrategy กำไรพุ่งทะลุเพดาน แซงหน้า Apple, Amazon
Sky เปิดตัว USDS Stablecoin ตัวใหม่! บน Solana พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 5 แสนดอลลาร์
BlackRock Bitcoin ETF Options สร้างสถิติใหม่! มียอดซื้อขายวันแรกทะลุ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์