General

คดีฟอกคริปโตในปี 2021 เพิ่มขึ้น 25%

Bitcoin Handcuffs.jpg

คดีฟอกคริปโตในปี 2021 มีมากถึง 8.6 พันล้าน แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายสถิติสูงสุดได้ ซึ่งโปรโตคอล DeFi ตกเป็นเป้าหมายที่ถูกก่อคดีอาชญากรรมมากที่สุด

รายงานผลการศึกษาฉบับใหม่จาก Chinalysis ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลในตลาดคริปโต เผยมูลค่าคดีฟอกคริปโตประจำปี 2021 นั้นมีมากถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากว่า 25% จากปี 2020 แต่ก็ยังคงต่ำกว่าสถิติสูงที่สุดในปี 2019 ที่มูลค่า 10.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดรวมการฟอกเงินในตลาดสกุลเงินดิจิทัลนับตั้งแต่ปี 2017 อย่างไรก็ตามทางบริษัทผู้วิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวคาดการณ์ว่ามูลค่าการฟอกเงินในตลาดคริปโตที่เคยเกิดขึ้นมาทั้งหมดมีมูลค่ารวมสุทธิอยู่ที่ 3.34 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

คดีฟอกคริปโตในปี 2021 ยังคงมีสัดส่วนต่ำกว่าการฟอกเงินสด

Chinalysis ได้ออกมาชี้ให้เห็นว่ามูลค่าการฟอกเงินทั้งหมดนับตั้งแต่ปี 2017 นั้นมีจำนวนลดลง เมื่อเทียบกับการก่อคดีฟอกเงิน หรือ อาชญากรรมในรูปแบบออฟไลน์อื่น ๆ เช่น การค้ายาเสพติด เป็นต้น ในทุก ๆ ปีที่มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้การตรวจสอบปริมาณการฟอกเงินสดนั้นจะมีความยุ่งยากกว่าคริปโตมาก เนื่องจากทางหน่วยงานจะไม่สามารถตรวจสอบหาร่องรอยของการก่ออาชญากรรมออฟไลน์ได้เลย ซึ่งจากข้อมูลได้บ่งชี้ว่า

“สิ่งที่ทำให้การฟอกเงินสด และการฟอกคริปโตนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนก็คือ เทคโนโลยี Blockchain ที่มีความโปร่งใสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเราจึงสามารถติดตามวิธีการย้ายคริปโตไปไว้ในกระเป๋าดิจิทัล และบริการต่าง ๆ หรือแม้แต่ติดตามวิธีการแปลงเงินจำนวนนั้นให้กลายเป็นเงินสดได้อย่างง่ายดายมากกว่านั่นเอง”

Chinalysisss.png

อาชญากรหวังได้รับผลตอบแทนเป็นคริปโตมากกว่าเงินสด

ตามข้อมูลของการวิเคราะห์ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่าปริมาณคริปโตที่ถูกฟอกไปโดยส่วนใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นจากการก่ออาชญากรรมในตลาดคริปโต ที่มักจะมอบผลตอบแทนคืนกลับมาในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่าสกุลเงินสด

นอกจากนี้ จากข้อมูลของกราฟด้านล่างได้บ่งชี้ว่านี่ถือเป็นครั้งแรกหลังจากปี 2018 ที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมอำนาจ (CEX) มีอัตราส่วนการถูกฟอกเงินน้อยกว่าครึ่ง หรือ 47% ซึ่งส่งสัญญาณถึงพฤติกรรมของอาชญากรไซเบอร์ที่เปลี่ยนไป โดยระบบ Decentralized Finance (DeFi) นั้นได้ขึ้นแท่นเป็นโปรโตคอลที่ถูกอาชญากรเพ่งเล็งมากที่สุด จะเห็นได้จากปริมาณ Address ที่ผิดกฎหมายมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาเกือบ 2,000%

Chinalysis.png
Source : Chinalysis

แฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือกลายเป็นกรณีศึกษาที่ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

แฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือได้ตกเป็นประเด็นโด่งดังล่าสุดประจำเดือนมกราคมในปีนี้ไปโดยปริยาย หลังบุกเข้าเจาะระบบ และแฮ็กคริปโตจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อขโมยเงินมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีศึกษาดังกล่าวนั้นคงจะหนีไม่พ้นการที่กองกำลังไซเบอร์กลุ่มนี้เลือกที่จะเพ่งเล็งตลาด DeFi มากกว่าตลาดอื่น ๆ เป็นพิเศษ ในขณะที่นักต้มตุ๋นรายอื่น ๆ ยังคงหันมาให้ความสนใจกับแพลตฟอร์ม CEX เช่นเดิม ซึ่งทาง Chinalysis ได้ออกมาให้เหตุผลในประเด็นนี้ว่าปัจจัยสำคัญในการเลือกก่อคดีนั้นก็คือการที่ระบบขาดความซับซ้อนนั่นเอง นอกจากนี้ทางองค์กรยังได้ออกมากล่าวเสริมว่า

“บรรดานักขุดคริปโต (Mining Pools), แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่มีความเสี่ยงสูง และเหล่า Mixer ยังคงพบจำนวน Address ที่ผิดกฎหมายในกลุ่มเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน”

North Korea Hackers.jpeg 856x482 1.jpg

ก่อนหน้านี้กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเผยข้อมูลในปี 2020 ระบุว่าประเทศเกาหลีเหนือได้ซ่องสุมกองกำลังแฮ็กเกอร์ที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 6,000 รายเพื่อไปประจำการยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น เบลารุส จีน อินเดีย มาเลเซีย และ รัสเซีย เป็นต้น โดยทางกองทัพได้สันนิษฐานว่ากองกำลังดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Bureau 121 ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อก่อสงครามไซเบอร์โดยเฉพาะ พร้อมกันนี้ทางองค์การสหประชาชาติ (UN) ก็ได้ออกมาสันนิษฐานเป้าหมายในการขโมยเงินของเหล่าแฮกเกอร์กลุ่มนี้เพื่อนำไปใช้สนับสนุนโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้กับประเทศนั่นเอง

ภาพรวมการก่อคดีฟอกเงินในตลาดคริปโตยังคงต่ำกว่าสถิติสูงสุด

อย่างไรก็ตามภาพรวมการก่ออาชญากรรมในคดีฟอกเงินกลับลดลงในปี 2021 หลังพบว่าในปี 2020 Address จำนวน 583 รายการได้รับการฝากเงินด้วยมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปี 2021 นั้นมี Address เพียงแค่ 270 รายการเท่านั้นที่ถูกใช้ไป

ทั้งนี้ Altcoin กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีการกระจุกตัวของการค่อคดีฟอกเงินมากที่สุด โดยเงินของผู้เสียหายที่ถูกฟอกเงินกว่า 68% ได้ถูกฝากเข้าไปไว้ใน Address ผิดกฎหมายของเหล่าอาชญากร ในส่วนของ Ether (ETH) ก็ตกเป็นสกุลเงินเป้าหมายรายต่อไปด้วยอัตราส่วน 63% ตามมาด้วย Stablecoin ที่ 57% และ Bitcoin (BTC) ที่พบการกระจุกตัวน้อยที่สุดอยู่ที่ 19%

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง