บิตคอยน์ (BTC) กับ 4 สิ่งที่ควรจับตาดูในสัปดาห์นี้
บิตคอยน์ (BTC) เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่อย่างน่าผิดหวัง หลังจากที่ฟื้นตัวเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ ราคาก็ถูกปฏิเสธที่ระดับ 60,000 ดอลลาร์ถึงสองครั้ง มีปัจจัยอะไรที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้บ้าง?
บิตคอยน์ (BTC) เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่อย่างน่าผิดหวัง หลังจากที่ฟื้นตัวเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ ราคาก็ถูกปฏิเสธที่ระดับ 60,000 ดอลลาร์ถึงสองครั้ง มีปัจจัยอะไรที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้บ้าง?
บิตคอยน์ (BTC) เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่อย่างน่าผิดหวัง หลังจากที่ฟื้นตัวเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา BTC/USD ก็ถูกปฏิเสธที่ระดับ 60,000 ดอลลาร์ถึงสองครั้ง และหลังจากนั้นก็ร่วงลงต่ำกว่า 57,000 ดอลลาร์ เนื่องจากโมเมนตัมของตลาดลดลง
ระดับ 60,000 ดอลลาห์กลายเป็นแนวต้านในตอนนี้
หลังจากที่แตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ 55,650 ดอลลาร์ ราคา BTC/USD ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน และในวันเสาร์ ราคาได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 60,000 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การทะลุระดับดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นความพยายามของบิตคอยน์ในการทะลุ 60,000 ดอลลาร์อีกครั้ง ก่อนที่ราคาจะถูกปฏิเสธอ และทำให้ตลาดร่วงลงอีกครั้ง
ในขณะที่เขียน ราคาบิตคอยน์ซื้อขายอยู่ที่ 57,508 ดอลลาห์ โดยลดลง 2.27% ในวันนี้ ตลาดจับตามองที่ระดับ 57,000 ซึ่งเคยเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในอดีต ซึ่งหาก BTC ทะลุต่ำลง ระดับดังกล่าวจะกลายเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งต่อไป ส่วนแนวต้านในตอนนี้ยังคงเป็นระดับ 60,000 ดอลลาห์
ความคล้ายคลึงที่แปลกประหลาด
แม้ว่าราคาสกุลเงินดิจิทัลท่ีใหญ่ที่สุดในโลกจะปรับฐานลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าเหล่านักเทรดจะยังคงมีมุมมองในแง่ดีต่อตลาดคริปโต นักเทรดบางคนยังคงเชื่อมั่นในโมเดล Stock-to-flow ของ PlanB ว่าราคา BTC/USD จะพุ่งขึ้นไปที่ 98,000 ในเดือนพฤศจิกายนนี้
แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้เห็นด้วย แต่ก็มองว่า BTC ยังคงมีศักยภาพตลาดกระทิงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลองซูมออกดูในภาพใหญ่ จะเห็นได้ว่าราคาบิตคอยยังคงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน
กรอบเวลาที่สั้นลงมักจะทำให้เห็นตลาดที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับกรอบเวลาที่ยาวกว่า และนี่คือสิ่งที่ตลาดตั้งตารอ
การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงปี 2017 และในตอนนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
TechDev อ้างถึงข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ราคา Bitcoin ไม่เพียงแต่ซ้ำรอยในปี 2017 เท่านั้น แต่ยังเลียนแบบกรอบเวลาจริงสำหรับแต่ละช่วงของตลาดกระทิงด้วย
ชาร์ตยังแสดงให้เห็นเพิ่มเติมว่า สัญญาณ relative strength index (RSI) ของ Bitcoin ในตอนนี้มีลักษณะเหมือนก๊อปวางมาจากปี 2017 ในเดือนพฤศจิกายนเลยทีเดียว
โดยทั่วไป ตลาดขาขึ้นของ BTC จะมาพร้อมกับสัญญาณ RSI ที่ประมาณ 90 หรือมากกว่า ซึ่งยังอยู่ไกลจากระดับปัจจุบัน
ดอลลาห์สหรัฐเป็นดาวเด่นในตอนนี้
ทางด้านเศรษฐกิจระดับมหภาค ความกังวลต่อโคโรน่าไวรัสที่กลับมาอีกครั้ง ทำให้เกิดความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก
บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดจึงจับตามองไปที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งอาจเพิ่มอัตราการลดการซื้อสินทรัพย์ในเดือนหน้า
Jason Schenker ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Prestige Economics ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า
“หากแนวคิดดังกล่าวถูกเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นจะเพิ่มความน่าจะเป็นเกี่ยวกับการลดซื้อสินทรัพย์ที่เร็วขึ้นในเดือนธันวาคม จากที่ประกาศเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน”
อย่างไรก็ตาม จุดสนใจในสัปดาห์นี้คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์ได้เอาชนะแนวต้านที่แข็งแกร่งในเดือนนี้ โดยดัชนีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) แตะระดับที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2020
โดยทั่วไป ดัชนี DXY ที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลต่อ Bitcoin ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้ ดัชนี DXY พุ่งสูงถึง 96 เลยทีเดียว การแข็งค่าของดัชนีดอลลาห์สหรัฐที่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความสัมพันธ์ผกผัน (inverse correlation) กับ BTC ได้
ข้อมูลจาก Sentiment ยังไม่มีทิศทาง
ดัชนี Crypto Fear & Greed แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมราคาในระยะสั้น ตลาดยังคงเป็นกลางโดยสิ้นเชิง ซึ่งตอนนี้ Fear & Greed อยู่ที่ 50/100 แสดงให้เห็นถึงตลาดที่ยังขาดทิศทางอย่างชัดเจน
ตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตลาดได้ร่วงลงสู่ระดับ Fear และฟื้นตัวขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตัวเลขเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและเดือนที่แล้ว ดัชนียังคงอยู่ในระดับโลภอยู่ (Greed) โดยปกติแล้ว เมื่อดัชนีอยู่ในระดับ “กลัวมาก” (Extreme Fear) ถือเป็นสัญญาณว่านักลงทุนกำลังกังวลอย่างมาก และอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ ขณะที่ระดับ “โลภมาก” (Extreme Greedy) อาจนำไปสู่การปรับฐานได้
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ