FriesDAO นำ Blockchain มาใช้ในเฟรนไชส์ชื่อดัง

ไอเดียการสร้างโปรเจกต์ชิ้นใหม่ขององค์กร Decentralized Autonomous Organization (DAO) ที่เรียกตนเองว่า FriesDAO นั้นได้เริ่มต้นขึ้นจากความต้องการที่จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดได้อย่างเท่าเทียมกัน ด้วยการนำ Blockchain มาใช้ภายในเครือพันธมิตร โดย Brett Beller และ Bill Lee ที่ปรึกษาแห่ง FriesDAO ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวรายหนึ่งถึงภารกิจครั้งใหม่ที่ทางทีมงานจะได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงคริปโตเข้าสู่อุตสาหกรรมฟาสต์ฟู้ดชื่อดังจำนวนมาก

FriesDAO เล็งใช้ QSR

หนึ่งในองค์กร DAO ชื่อดัง ได้วางแผนตั้งเป้าหมายที่จะเข้าซื้อกิจการ และขยายธุรกิจเข้าไปยังเฟรนไชส์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น Popeye’s, Burger King และ Taco Bell พร้อมทั้งเชิญชวนผู้ที่ถือครองโทเคน FRIES ให้มาร่วมใช้บริการ Quick Service Restaurants (QSR) ที่ดำเนินการบนเครือข่ายแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) ให้มากขึ้น โดยจะเริ่มต้นจากการเข้าไปเป็นเจ้าของเฟรนไชส์ Subway เป็นที่แรก ซึ่งการดำเนินการตามแผนในครั้งนี้ทางองค์กรหวังที่จะชักจูงให้เชนร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรก้าวเข้าสู่วงการ Blockchain อย่างเต็มตัว จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน DAO ดังกล่าวสามารถระดมทุนได้มากถึง 5.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทะลุเป้าหมายที่ทางองค์กรตั้งไว้ที่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ทางด้านพันธมิตรหลายรายต่างก็ได้เตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การดำเนินการในรูปแบบ DAO มากกว่าการประกอบธุรกิจมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว จึงสร้างความประหลาดใจ และช่วยอำนวยความสะดวกให้กับ FriesDAO เป็นอย่างมาก

ซีอีโอ FriesDAO เผยกลยุทธ์ซื้อใจให้ลูกค้านำ Blockchain มาใช้

Lee ได้ชี้แจงว่า โปรเจกต์ใหม่ของ FriesDAO นั้นไม่ได้มีเจตนาในการจะเข้าไปเป็นเป็นเจ้าของร้านค้าใด ๆ โดยตรง เนื่องจากยังคงติดปัญหาทางด้านกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทีมงานเกิดไอเดียในการวางแผนนำบัตรสมาชิกในรูปแบบ Non-Fungible Token หรือ NFT มาให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น อาหารฟรี หรือส่วนลดจากร้านค้าในเครือข่ายของ FriesDAO นั่นเอง

ที่ปรึกษา FriesDao มั่นใจ Blockchain ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมได้

Kory Spiroff อดีตผู้บริหาร Domino’s และผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการที่ปรึกษาแห่ง FriesDao คนล่าสุด ได้ออกมาร่วมแสดงความคิดเห็นของเขา ถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อเทคโนโลยี Blockchain ว่าจะสามารถยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้กับอุตสาหกรรม QSR ขึ้นไปอีกขึ้นได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้เขายังได้กล่าวเสริมว่า

“ความโปร่งใสที่มาพร้อมกับความว่องไวในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกภายในคอมมิวนิตีของ Blockchain อาจลดเวลา และลดแรงงานที่นำมาใช้ในการศึกษา และทำความเข้าใจกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมาก ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้นั้นเปรียบเสมือนกับพนักงานประจำที่ไม่มีต้นทุน และสามารถเรียกใช้งานได้ในทันทีเพื่อแจ้งผลการดำเนินการ พร้อมแนะนำแนวทางที่สำคัญให้กับองค์กรได้”