Web 3.0 คืออะไร? แตกต่างจากยุคก่อนอย่างไร? และมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับวงการคริปโต
วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จักว่า Web 3.0 คืออะไร เหนือกว่าเว็บในยุคก่อนอย่างไร และมีความแตกต่างจาก Web 1.0 และ Web 2.0 อย่างไรบ้าง
วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จักว่า Web 3.0 คืออะไร เหนือกว่าเว็บในยุคก่อนอย่างไร และมีความแตกต่างจาก Web 1.0 และ Web 2.0 อย่างไรบ้าง
Web 3.0 จะเป็นอินเทอร์เน็ตในยุคต่อไป ซึ่งเป็นยุคที่แพลตฟอร์มต่างๆ จะถูกขับเคลื่อนโดยชุมชน แทนที่จะถูกควบคุมโดยตัวกลางที่รวมศูนย์ แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แต่ Web 3.0 ก็กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของระบบนิเวศบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี
วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จักว่า Web 3.0 คืออะไร เหนือกว่าเว็บในยุคก่อนอย่างไร และมีความแตกต่างจาก Web 1.0 และ Web 2.0 อย่างไรบ้าง
Web 3.0 คืออะไร?
อินเทอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง มันได้กลายเป็นส่วนสำคัญของปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ และยังคงพัฒนาต่อไป
Web 3.0 เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในยุคต่อไปที่ต้องอาศัย Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นอย่างมาก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชันที่เปิดกว้าง เชื่อมต่อกัน และชาญฉลาดยิ่งขึ้น ซึ่งเน้นที่การใช้ความเข้าใจในการใช้ข้อมูล
ด้วยการใช้ AI และเทคนิค machine learning ขั้นสูง Web 3.0 นั้นมุ่งหวังที่จะให้ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวและมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้น ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้อัลกอริธึมการค้นหาที่ชาญฉลาดขึ้น และการพัฒนาในการวิเคราะห์โดยใช้ Big Data
สรุปวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
เว็บไซต์และแอปพลิเคชันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาได้พัฒนาจากไซต์แบบคงที่เป็นไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งผู้ใช้สามารถโต้ตอบและเปลี่ยนแปลงได้
Web 1.0
อินเทอร์เน็ตดั้งเดิมมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เรียกว่า Web 1.0 คำนี้เกิดขึ้นในปี 1999 โดย Darci DiNucci ผู้เขียนและนักออกแบบเว็บไซต์ ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0 ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 1990 เว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นโดยใช้หน้า HTML แบบคงที่ที่มีเพียงความสามารถในการแสดงข้อมูลเท่านั้น ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้
Web 2.0
ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่อินเทอร์เน็ตเชิงโต้ตอบเริ่มเกิดขึ้น Web 2.0 ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเว็บไซต์ผ่านการใช้ฐานข้อมูล การประมวลผลฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แบบฟอร์ม และโซเชียลมีเดีย
สิ่งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเว็บธรรมดาเป็นเว็บที่ไดนามิกมากขึ้น Web 2.0 ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นและการทำงานร่วมกันระหว่างไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในช่วงกลางปี 2000 เว็บไซต์ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปใช้ Web 2.0
ในอนาคตข้างหน้า
เมื่อดูประวัติของอินเทอร์เน็ต วิวัฒนาการของเว็บก็สมเหตุสมผล ในช่วงแรกข้อมูลถูกนำเสนอต่อผู้ใช้ จากนั้นผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับข้อมูลนั้นแบบไดนามิก ตอนนี้ข้อมูลทั้งหมดจะถูกใช้โดยอัลกอริธึม เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และทำให้เว็บเป็นส่วนตัวและคุ้นเคยมากขึ้น
แม้ว่า Web 3.0 จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีแบบ peer-to-peer (P2P) เช่น บล็อกเชน, ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส, ความเป็นจริงเสมือน, Internet of Things (IoT) และอีกมากมาย
ปัจจุบัน แอปพลิเคชั่นจำนวนมากถูกจำกัดให้ทำงานบนระบบปฏิบัติการเดียวเท่านั้น แต่ Web 3.0 สามารถเปิดใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ต้องการอุปกรณ์มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำงานบนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ ได้หลายประเภท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Web 3.0 ยังมุ่งหวังที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตเปิดกว้างและมีการกระจายอำนาจมากขึ้น ในกรอบการทำงานปัจจุบัน ผู้ใช้ต้องพึ่งพาเครือข่ายและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือที่คอยสอดส่องข้อมูลที่ส่งผ่านระบบของตน แต่ด้วยการถือกำเนิดของเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในไม่ช้า และผู้ใช้สามารถนำความเป็นเจ้าของข้อมูลกลับคืนมาได้
อะไรทำให้ Web 3.0 เหนือกว่ายุคก่อน?
ไม่มีศูนย์กลางในการควบคุม: เนื่องจากคนกลางจะถูกลบออกจากสมการ ข้อมูลผู้ใช้จะไม่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานกลางอีกต่อไป ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเซ็นเซอร์โดยรัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ และลดประสิทธิภาพของการโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการ (DoS) ซึ่งเป็นการโจมตีโดยมีจุดมุ่งหมายทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้นั่นเอง
การเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลที่เพิ่มขึ้น: เมื่อมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากขึ้นเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ชุดข้อมูลขนาดใหญ่จะมีอัลกอริทึมมาช่วยในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น ข้อมูลนี้สามารถช่วยให้พวกเขาให้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งตรงกับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคนได้
การท่องเว็บที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น: เมื่อใช้เครื่องมือ Search Engine การค้นหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นค่อนข้างท้าทาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทต่าง ๆ สามารถพัฒนาการค้นหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความหมายตามบริบทการค้นหาและข้อมูลเมตาได้ดีขึ้น ส่งผลให้ประสบการณ์การท่องเว็บสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
Web 2.0 ยังแนะนำระบบการติด Tag แต่สิ่งเหล่านี้สามารถจัดการได้ ด้วยอัลกอริธึมที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้รับการจัดการสามารถถูกกรองโดย AI
การโฆษณาและการตลาดที่ได้รับการปรับปรุง: ไม่มีใครชอบถูกโจมตีด้วยโฆษณาออนไลน์ อย่างไรก็ตาม หากโฆษณามีความเกี่ยวข้องกับความสนใจและความต้องการของคนๆ หนึ่ง โฆษณาเหล่านั้นก็อาจมีประโยชน์แทนที่จะสร้างความรำคาญ Web 3.0 มุ่งหวังที่จะปรับปรุงการโฆษณาโดยใช้ประโยชน์จากระบบ AI ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และโดยการกำหนดเป้าหมายผู้ชมเฉพาะตามข้อมูลผู้บริโภค
การสนับสนุนลูกค้าที่ดีขึ้น: เมื่อพูดถึงเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชัน การบริการลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก บริการเว็บจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จจึงไม่สามารถปรับขนาดการดำเนินงานบริการลูกค้าของตนได้ ด้วยการใช้แชทบอทที่ชาญฉลาดขึ้น ซึ่งสามารถพูดคุยกับลูกค้าหลายรายพร้อมกันได้ ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่เหนือกว่าเมื่อต้องติดต่อกับตัวแทนฝ่ายสนับสนุน
สรุป
กล่าวโดยสรุป Web 3.0 จะทำให้อินเตอร์เน็ตมีความเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพ และการกระจายอำนาจ เนื่องจากเราทุกคนเป็นเจ้าของและควบคุมข้อมูลในมือ ซึ่งในปัจจุบันข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโพสใน Facebook รูปหรือสตอรี่ใน Instagram ข้อมูลเหล่านี้ถูกสอดส่องและควบคุมโดยบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม แนวคิด Web3 ถูกวิจารณ์ว่าเป็นแนวคิดที่ยังไกลเกินจริง และอาจจะทำให้เกิดฟองสบู่สกุลเงินดิจิทัล Jack Dorsey อดีตซีอีโอของ Twitter เคยกล่าวว่า “Web3 จะเป็นเพียงของเล่นของนายทุน” ขณะที่ Elon Musk กล่าวว่า “Web3 ดูเป็นศัพท์ทางการตลาดมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้”
วิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตเป็นการเดินทางที่ยาวนานและจะดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน ด้วยการขยายตัวของข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาล เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปใช้เว็บที่ให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างมากแก่ผู้ใช้จำนวนมากขึ้นทั่วโลก
แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่เป็นรูปธรรมสำหรับ Web 3.0 แต่ได้มีการกำหนดไว้แล้วโดยนวัตกรรมในด้านเทคโนโลยี แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่คงต้องติดตามกันต่อไป
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ