ผู้บริหาร Xbox ยังไม่เปิดใจให้ NFT
Phil Spencer ผู้บริหาร Xbox เริ่มเบื่อหน่ายที่ NFT กลายเป็นเครื่องมือในการกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าการให้ความบันเทิงแก่ผู้คน
Phil Spencer ผู้บริหาร Xbox เริ่มเบื่อหน่ายที่ NFT กลายเป็นเครื่องมือในการกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าการให้ความบันเทิงแก่ผู้คน
ความแพร่หลายของ NFT ในวงการเกมเริ่มขยายขอบเขตมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทว่า Phil Spencer ผู้บริหาร Xbox และ ธุรกิจเกมทั้งหมดของ Microsoft ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลือบแคลงใจของเขาที่มีต่อ Non-Fungible Token (NFT) ผ่านการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า
“ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับ NFT ในวันนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวของผมคิดว่ามีการคาดเดา และการทดลองต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย นอกจากนี้ความคิดสร้างสรรค์บางอย่างที่ผมได้เห็นในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้เหมือนเครื่องมือในการกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือในการมอบความบันเทิง”
เป็นที่รู้กันดีว่า Xbox กำลังฉลองครบรอบ 20 ปีในเดือนพฤศจิกายนนี้ผ่านการสตรีมสด และ เตรียมแถลงการณ์อัปเดตเกมที่สำคัญ
ความคิดของผู้บริหาร Xbox ส่งผลอย่างไรบ้าง
คำพูดของ Spencer ในฐานะหัวหน้าวงการเกมแห่ง Microsoft ค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร เนื่องจาก Xbox เป็นระบบปฏิบัติการเกมคอนโซลที่มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ตามหลังแค่เพียงค่ายเกมรายใหญ่อย่าง PlayStation ซึ่งส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีอำนาจมากพอที่จะเลือกยอมรับ หรือ ปฏิเสธการนำโปเจกต์ NFT เข้ามาใช้ในระบบนิเวศของเกม
ผู้บริหารรายนี้กล่าวเสริมว่า
“แน่นอนว่าเกม NFT ทุกเกมคือการแสวงหาผลกำไร ผมแค่คิดว่าพวกเราเองก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนั้นเช่นเดียวกัน”
บทบาทของ NFT ในอุตสาหกรรมเกม
อย่างไรก็ตามเมื่อลองมองย้อนกลับไปดู NFT ตัวแรกในปี 2014 – 2015 เทียบกับปัจจุบัน มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ประเภทนี้นั้นเพิ่มขึ้นมากว่าหลายล้านดอลลาร์ และ ในตลาดอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น เกมรูปแบบ Play-To-Earn (P2E) กำลังก่อให้เกิดยุคใหม่ของวงการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
Blockchain เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อตลาดอุตสาหกรรมเกมมากขึ้นเนื่องมาจากกระแสความนิยมใน GameFi หรือ เกมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เล่นได้ โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาธุรกิจร่วมลงทุน 3 แห่งได้ออกมาประกาศมอบเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาพัฒนาโปรเจกต์ GameFi ดังกล่าว ในขณะเดียวกัน NFT ก็ได้เริ่มขยายตัวเข้าไปสู่ตลาดด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 10.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในในไตรมาสที่ 3