นักลงทุนจะเอาตัวรอดในตลาดคริปโตได้อย่างไรในภาวะตลาดขาลง?
ตลาดคริปโตนั้นมีการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร มีทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ในบทความนี้ คริปโตสยามจะอธิบายถึงวิธีวิเคราะห์และเลือกคริปโตที่สำหรับพอร์ตโฟลิโอของคุณ

ตลาดคริปโตนั้นมีการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร มีทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ในบทความนี้ คริปโตสยามจะอธิบายถึงวิธีวิเคราะห์และเลือกคริปโตที่สำหรับพอร์ตโฟลิโอของคุณ
ตลาดคริปโตนั้นมีการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร มีทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ข่าวร้ายก็คือ เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงความผันผวนในตลาดได้ แต่ข่าวดีก็คือเราสามารถจัดโครงสร้างพอร์ตการลงทุนให้อยู่รอดได้ในตลาดหมี
ไม่ได้หมายความว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้จะไม่ลดลงในช่วงตลาดหมี แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะฟื้นตัว เมื่อแนวโน้มกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ในบทความนี้ คริปโตสยามจะอธิบายถึงวิธีวิเคราะห์และเลือกคริปโตที่สำหรับพอร์ตโฟลิโอของคุณ
ผลลุกลามในตลาดคริปโต
แม้ว่าตลาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นและอารมณ์ ซึ่งไม่มีเหรียญใดรอดพ้นจากผลลุกลาม (Contagion) ในตลาดคริปโตได้ คริปโตส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของบิทคอยน์ (BTC) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง สกุลเงินดิจิทัลบางตัวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าตัวอื่นๆ และไปสู่ระดับสูงสุดใหม่ ในขณะที่บางสกุลเงินอาจนิ่งอยู่กับที่ และบางเหรียญอาจไม่ฟื้นตัวขึ้น การล่มสลายของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ
ทำไมต้องเลือกคริปโตให้ดี เพื่ออยู่รอดในตลาดขาลง?
คำตอบก็คือ เพื่อรักษาเงินทุนนั่นเอง แม้ว่าเป้าหมายหลักของการลงทุนคือการทำกำไร แต่การเลือกคริปโตเคอร์เรนซีที่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้สภาวะตลาดขาลง และรักษามูลค่าไว้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเหนือกว่าตลาดหุ้นมาก ราคา BTC ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าทองคำและ S&P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความเสี่ยงสามารถลดลงได้ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่สมดุล แต่ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญในตลาดคริปโต เนื่องจากการร่วงลงของตลาดทุกครั้งจะส่งผลกระทบอย่างมาก
คริปโตเคอเรนซีเกือบ 1,700 เหรียญได้สูญเสียมูลค่าไปโดยสิ้นเชิงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นการเลือกคริปโตจึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้นักลงทุนอยู่รอดได้ในตลาดขาลง และพร้อมสำหรับตลาดขาขึ้นรอบต่อไป
วิธีการเลือกพอร์ตโฟลิโอ Crypto ที่สมดุล
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ระบุว่า ขั้นตอนแรกในการเอาชีวิตรอดจากตลาดหมีคือการเลือกพอร์ตที่สมดุล ดังคำกล่าวที่ว่า อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว
ควรเลือกเหรียญตัวไหนดี?
เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกเหรียญในตลาด แต่เราสามารถหาข้อมูลในเหรียญ blue-chip ที่มีประวัติที่พิสูจน์แล้วเท่านั้น นี่อาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง การพิจารณาโทเค็นที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็ค crypto ใหม่ ๆ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
เมื่อเลือกเหรียญที่จะอยู่รอดในตลาดหมี อาจพิจารณาเลือกจากตัวชี้วัดทางการเงิน เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) สภาพคล่อง อุปทานหมุนเวียน และปริมาณการซื้อขาย ข้อมูลประเภทนี้สามารถหาได้ที่ CryptoCompare
วิธีหาคริปโตที่จะรอดจากตลาดขาลง
แม้จะไม่มีใครสามารถรับรองได้อย่างปลอดภัยว่าคริปโตตัวใดจะอยู่รอดได้จากการร่วงลงของตลาด แต่จนถึงขณะนี้ Bitcoin นั้นสามารถอยู่ได้ในตลาดหมีทุกครั้ง และฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ดี นั่นคือการวิเคราะห์อย่างละเอียดในสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งมักใช้การวิเคราะห์สองประเภท
- การวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐาน เพื่อกำหนดมูลค่าที่แท้จริงและศักยภาพของโทเค็น
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อคาดการณ์ความผันผวนของราคาในอนาคต
การวิเคราะห์พื้นฐานจะบอกคุณว่าจะลงทุนที่ไหน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะบอกคุณว่าควรลงทุนเมื่อใด หากคุณละเลยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คุณเสี่ยงที่จะวางเงินของคุณในโปรเจ็คที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง คุณอาจเสี่ยงที่จะลงทุนในเหรียญที่มีคุณภาพต่ำ
หากคุณละเลยการวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณอาจเสี่ยงที่จะเข้าซื้อผิดเวลาและขาดทุนเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ซึ่งเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก
วิธีพิจารณาสถานะของคริปโต
การวิเคราะห์พื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลนั้นคล้ายคลึงกับของการเริ่มต้นธุรกิจ นี่คือบางส่วนที่นักลงทุนควรพิจารณาเมื่อวิเคราะห์สถานะสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะลงทุน ซึ่งวิธีการอาจไม่ตายตัวและปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์ของแต่ละคน
การวิเคราะห์ White Paper
สำหรับนักลงทุนคริปโต เอกสาร White Paper จะนำเสนอข้อมูลที่สรุปรายละเอียดของโปรเจ็ค ซึ่งเอกสารดังกล่าวมักจะระบุว่า โปรเจ็คทำอะไร? ตั้งเป้าหมายแก้ปัญหาอะไร? โปรเจ็คนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร? รวมถึง Tokenomics ด้วย
ชุมชน crypto มักจะกล่าวถึงปัญหาในเรื่องการปรับขนาด ความเป็นส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ และปัญหาในการทำงานร่วมกัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถใช้วัดประโยชน์ของ altcoin ได้
ยกตัวอย่าง Ethereum ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เพราะสามารถนำมาพัฒนาการเงินแบบกระจายอำนาจต่อไปได้ ส่วน Ripple (XRP) มุ่งหวังที่จะปฏิวัติระบบการชำระเงินรวมแบบเรียลไทม์ในการเงินโลก เป็นต้น
โปรเจ็คและการแข่งขันบล็อคเชน
โปรเจ็คบล็อกเชนที่มีการแข่งขันกัน คุณสามารถประเมินความอยู่รอดของคริปโตที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าอย่างอื่น ทำให้นักลงทุนสามารถรู้ได้ว่า บล็อกเชนใดอยู่ในการแข่งขันโดยตรง? บล็อกเชนที่แข่งขันกัน ตัวใดมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า? วิวัฒนาการในการใช้งานโปรเจ็คจนถึงขณะนี้มีอะไรบ้าง? มีการแก้ปัญหาเฉพาะในพื้นที่คริปโตหรือไม่?
คนส่วนใหญ่คงเคยได้ยินเกี่ยวกับบล็อกเชน Solana ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “นักฆ่า Ethereum” ในกรณีนี้บล็อกเชน Solana ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Ethereum
แม้ว่า Ethereum จะมีความได้เปรียบเพราะเป็นรายแรกในตลาด แต่ Solana ก็มีข้อได้เปรียบพื้นฐานที่สำคัญเหนือ Ethereum ที่ใหญ่ที่สุดคือสามารถจัดการธุรกรรมได้หลายรายการต่อวินาที และมีต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำ
ทีมและชุมชน
ความน่าเชื่อถือของทีมเบื้องหลังโครงการคริปโตมีความสำคัญพอๆ กับตัวโครงการเอง
- ใครคือผู้ก่อตั้งและภูมิหลังทางวิชาการและอาชีพของพวกเขาคืออะไร?
- บริษัทใดบ้างที่สนับสนุนโครงการ และโครงสร้างความเป็นเจ้าของและการกำกับดูแลเป็นอย่างไร?
- มีคนทำงานในโครงการนี้กี่คน? สามคนในบริษัท หรือทีมวิศวกรที่หลากหลายจากทั่วโลก?
- ชุมชนของพวกเขาใหญ่แค่ไหน? มีที่อยู่บล็อกเชนที่ใช้งานอยู่จำนวนเท่าใด
อัตราแฮช (Hash Rate)
สำหรับบล็อคเชน Proof of Work อัตราแฮชคือพลังการประมวลผลที่มีอยู่ในเครือข่ายสำหรับการขุด สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ อัตราแฮชถือเป็นตัววัดว่าบล็อกเชนมีความปลอดภัยเพียงใด ซึ่งหมายความว่ายิ่งอัตราแฮชสูงขึ้น บล็อกเชนก็จะปลอดภัยมากขึ้น มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการโจมตี และการใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน (double-spending)
นักลงทุนอาจต้องหาพิจารณาดูว่า อัตราแฮชปัจจุบันเทียบกับคริปโตอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้าง? อัตราแฮชเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่? โดยทั่วไป อัตราแฮชจะวัดเป็นแฮชต่อวินาที (h/s)
มูลค่าการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียม
มูลค่าของธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่จ่ายต่อธุรกรรมช่วยกำหนดความต้องการคริปโต ซึ่งนักลงทุนควรจะพิจารณาดูว่า มูลค่าธุรกรรมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง? จำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นหรือลดลง และมีค่าธรรมเนียมเท่าใดต่อธุรกรรม
โดยปกติเมื่อมูลค่าธุรกรรมสูงอย่างต่อเนื่อง หมายความว่าเหรียญนั้นมีการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องและมีสภาพคล่องที่สูง ค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปแสดงถึงความต้องการในคริปโต เมื่อคุณวิเคราะห์ค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปจะสามารถอนุมานได้ว่าบล็อคเชนนั้นปลอดภัยแค่ไหน
Tokenomics
Tokenomics คือ เศรษฐศาสตร์ของโทเค็นนั่นเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการจัดหาโทเค็นและยูทิลิตี้ เมื่อวิเคราะห์ tokenomics คุณควรมีคำถามต่อไปนี้: โทเค็นใช้ทำอะไร มีประโยชน์ในโครงการหรือไม่? ยูทิลิตี้นี้เป็นของเทียมหรือตรงกับความต้องการจริงหรือไม่? มีอุปทานโทเค็นสูงสุด (จำนวนสูงสุด) หรือไม่ โทเค็นเป็นภาวะเงินฝืดหรือไม่?
ถ้าไม่เช่นนั้น โทเค็นใหม่จะถูกสร้างขึ้นได้เร็วแค่ไหน? พวกเขาจะแจกจ่ายให้ใคร? ประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน: ความต้องการโทเค็นจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ การสร้างโทเค็นจะได้รับการจัดการอย่างไรในอนาคต? ใครจะเป็นผู้ควบคุมการตัดสินใจเหล่านี้? คุณสามารถใช้โทเค็นของคุณ เพื่อ staking ได้หรือไม่? ปัจจุบันมีโทเค็นหมุนเวียนอยู่กี่เหรียญเมื่อเทียบกับอุปทานสูงสุด (ถ้ามี) ทีมงานและนักลงทุนรายแรกมีอัตราส่วนเท่าไร? โทเค็นมีการกระจายอย่างไร?
ด้วยแนวทางทั้งหมดที่กล่าวมา หวังว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์และมีแนวทางในการเลือกคริปโตให้อยู่รอดในภาวะตลาดหมีกันนะคะ
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ