Western Union เลือกใช้ Solana สำหรับระบบ Stablecoin และเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัล
Western Union บริษัทบริการทางการเงินรายใหญ่ของโลก เตรียมเปิดตัวระบบชำระเงินด้วย Stablecoin ที่สร้างบนบล็อกเชน Solana โดยคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026

Western Union บริษัทบริการทางการเงินรายใหญ่ของโลก เตรียมเปิดตัวระบบชำระเงินด้วย Stablecoin ที่สร้างบนบล็อกเชน Solana โดยคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026
Western Union ได้เลือกใช้บล็อกเชน Solana สำหรับระบบ Stablecoin และเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ของบริษัท โดยจะเปิดตัวภายใต้ชื่อ US Dollar Payment Token (USDPT) และ Digital Asset Network ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ากว่า 150 ล้านคนในกว่า 200 ประเทศสามารถโอนและแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ
ในประกาศระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการของ Western Union ในไตรมาส 3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทระบุว่า ระบบดังกล่าวได้พัฒนาร่วมกับ Anchorage Digital Bank และจะเปิดให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ผ่านพันธมิตรผู้ให้บริการตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน คล้ายกับกรณีของ PayPal USD (PYUSD) ที่ถูกลิสต์อยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Binance และตลาดอื่น ๆ
Digital Asset Network จะทำหน้าที่เป็นช่องทาง “Off-Ramp” สำหรับลูกค้ากว่า 150 ล้านคน ของ Western Union ในกว่า 200 ประเทศ ช่วยให้สามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลกลับเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วและต้นทุนต่ำ
ระหว่างการประชุม Money 20/20 USA ที่ลาสเวกัสเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Devin McGranahan CEO ของ Western Union กล่าวว่า หลังจากการเปรียบเทียบหลายเครือข่าย บริษัทได้ตัดสินใจเลือก Solana เพราะเป็น “ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด” สำหรับสร้างแพลตฟอร์ม Stablecoin ที่พร้อมสำหรับสถาบัน
ผู้ให้บริการโอนเงินรายอื่นเริ่มหันสู่ Stablecoin
Western Union ไม่ใช่รายเดียวที่กำลังขยายเข้าสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อทำให้การโอนเงินข้ามพรมแดนเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใสขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มชำระเงิน Zelle ก็ประกาศแผนเปิดตัว Stablecoin ของตนเองเพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ ขณะที่ MoneyGram ก็ประกาศในเดือนกันยายนว่าจะรวมกระเป๋าเงิน USDC เข้ากับแอปคริปโตของตนในโคลอมเบีย
กฎหมาย GENIUS Act หนุนการเติบโตของ Stablecoin
การนำ Stablecoin ไปใช้ในภาคการเงินภายในสหรัฐเริ่มได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามบังคับใช้ GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งกำหนดกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างชัดเจนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
อ้างอิง : Cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล
Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว








