Ripple ไม่ได้เป็นคนจุดประเด็นการใช้พลังงานของ Bitcoin

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Elon Musk ได้ออกมาประกาศบน Twitter ส่วนตัวของเขาว่า Tesla จะไม่ยอมรับ Bitcoin เป็นวิธีการชำระเงินอีกต่อไปเนื่องจากปัญหาการใช้พลังงาน และหลังจากแถลงการณ์ของเขาโลดแล่นสู่โลกแห่งความเป็นจริงมูลค่าของ Bitcoin (BTC) และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นยิ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับความเสื่อมถอยของสภาพแวดล้อมของสกุลเงินดิจิทัล

ทั้งนี้เหตุการณ์ข้างต้นนั้นยิ่งดูกลับตาลปัตรกันไปใหญ่ เมื่อทาง Barry Silbert หัวหอกของ Greyscale ออกมาพูดในทำนองที่ว่า “อาจจะมีบางบริษัทอยู่หลังเรื่องนี้” ซึ่งทาง Brad Garlinghouse ผู้เป็น CEO ของ Ripple ก็ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาข้างต้นอย่างทันควัน และปฎิเสธว่า Ripple ไม่ได้เป็นตัวการในการเผยแพร่ชุดข้อมูลที่ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความสับสน (Fear, Uncertainty, Doubt - FUD) ต่อสินทรัพย์คู่แข่งของตนอย่าง Bitcoin แน่นอน โดยเขาได้กล่าวว่า

"มันเกินจริงไปมากที่คุณจะคิดว่า Ripple เป็นหุ่นเชิดที่อยู่เบื้องหลังทั้ง Elon Musk, เหล่านักวิทยาศาสตร์จำนวนนับไม่ถ้วน, รัฐบาลต่าง ๆ, ผู้ชื่นชอบคริปโต และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายที่ออกมากล่าวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ BTC"

ในขณะเดียวกัน CEO ของ Ripple กล่าวเมื่อวันที่ 5 เมษายน ว่าทีม Ripple ทั้งหมดมีเครื่องมือที่สามารถทำให้ Cryptocurrency ใช้ประโยชน์ได้ 100%และตระหนักถึงศักยภาพของมัน เขากล่าวว่า

"เรามาดูวิธีแก้ปัญหาเพื่อเปลี่ยนความคิดเห็นของJanet Yellen, Bill Gates และคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ชี้ให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการใช้พลังงานแทนที่จะกล่าวหาว่าฉันปล่อย FUD"

เป็นการยากที่จะโค่น Ripple

แม้ว่า Ripple จะต้องเผชิญกับคดีฟ้องร้องโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ในการขายหลักทรัพย์ที่ผิดกฎหมายในรูปแบบของ XRP นักลงทุนจำนวนมากในชุมชน Crypto ยังคงมีมุมมองที่ดีต่อ XRP เนื่องจากพวกเขาคาดว่า Ripple จะเอาชนะคดีนี้ได้

โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคดี SEC vs Ripple ได้นัดพิจารณาความเคลื่อนไหวของ SEC ซึ่งทางอัยการขอให้บริษัท Ripple Labs ซึ่งตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโกส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำแนะนำทางกฎหมายที่ได้รับก่อนที่จะขายโทเค็น XRP ในปี 2012 จากนั้นพิจารณาว่าจำเป็นต้องลงทะเบียนตามกฎหมายหรือไม่ตามกฎหมาย ก.ล.ต.

ท้ายที่สุดเวลาก็จะเป็นตัวบอกเองว่าผลแพ้ชนะจะออกมาเป็นอย่างไร