Nvidia โดนปรับ $5.5 ล้าน ไม่เผยรายได้ GPU ขุดคริปโต
หลัง GPU ขุดคริปโตที่ถูกปล่อยออกมาสร้างรายได้ให้องค์กรมหาศาล ทางด้าน ก.ล.ต.สหรัฐฯ จึงได้เข้าตรวจสอบผลประกอบการ ทำให้ Nvidia โดนปรับ $5.5 ล้าน
หลัง GPU ขุดคริปโตที่ถูกปล่อยออกมาสร้างรายได้ให้องค์กรมหาศาล ทางด้าน ก.ล.ต.สหรัฐฯ จึงได้เข้าตรวจสอบผลประกอบการ ทำให้ Nvidia โดนปรับ $5.5 ล้าน
เมื่อวันศุกร์ที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ลงโทษ Nvidia ในข้อหาเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการไม่ครบถ้วน หลังตรวจพบว่ารายได้หลักโดยส่วนใหญ่ขององค์กรนั้นมาจากการจัดจำหน่ายการ์ดจอ (Graphics Processing Units - GPU) ที่ผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ขุดคริปโตในระหว่างปี 2018 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทางบริษัทไม่ได้มีการยื่นให้ทางหน่วยงานได้ตรวจสอบ จนทำให้ Nvidia โดนปรับ $5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในทันที พร้อมกันนี้ทาง ก.ล.ต. ยังได้สั่งให้บริการยินยอมที่จะยุติการดำเนินการอันเป็นการละเมิดกฎหมายฉบับพระราชบัญญัติหลักทรัพย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาประจำปี ค.ศ. 1933 (Securities Act of 1933) รวมไปถึงยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาประจำปี ค.ศ. 1934 อีกด้วยเช่นเดียวกัน
ความล้มเหลวในการเปิดเผยรายได้ ทำให้ Nvidia โดนปรับ
ทั้งนี้ ตามรายงานผลประกอบการของ Nvidia นั้นได้มีการชี้แจงถึงรายได้จากตลาดเกมในปี 2018 ที่เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล รวมไปถึงข้อมูลที่บ่งชี้ว่ารายได้โดยรวมขององค์กรนั้นเพิ่มขึ้นจากการประกอบธุรกิจเหมืองคริปโตด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตามข้อกำหนดข้างต้นนั้นได้ระบุให้ทางบริษัทจำเป็นที่จะต้องชี้แจงถึงความเชื่อมโยงในการเข้ามาประกอบธุรกิจในตลาดที่มีความผันผวนสูง โดย Nvidia ได้ล้มเหลวที่จะเปิดเผยข้อมูลความต้องการสำหรับตลาดเหมืองคริปโตไป จนอาจส่งผลกระทบทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดได้
ก.ล.ต. ย้ำชัดผู้ให้บริการด้านคริปโตควรเตรียมตัวให้พร้อม
ทางด้าน Kristina Littman หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์คริปโต และหน่วยไซเบอร์ประจำฝ่ายนิติบัญญัติแห่งก.ล.ต. สหรัฐก็ได้ออกมากล่าวว่า
“Nvidia ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปใช้ประเมิณสภาพการณ์ธุรกิจในช่วงต่าง ๆ ไปจากบรรดานักลงทุน … ด้วยเหตุนี้ทาง ก.ล.ต. จึงต้องออกมาย้ำเตือนให้ผู้ผลิตทุกราย รวมไปถึงองค์กรที่มีโอกาสเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเกิดใหม่ประเภทนี้ตรวจสอบข้อมูลในมือของตนว่าได้ถูกนำมาเปิดเผยอย่างตรงเวลา, ครบถ้วน และถูกต้อง”
เหตุการณ์ในครั้งนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นการลงโทษตามข้อกำหนดของก.ล.ต. ครั้งแรก นับตั้งแต่หน่วยงานรัฐได้ออกมาแถลงการณ์เตรียมขยายแผนกไซเบอร์ ซึ่งรวมไปถึงแผนกสินทรัพย์คริปโตด้วยการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ขึ้นกว่า 20 ราย เพื่อพยายามที่จะเข้ามาตรวจสอบการกระทำความผิดในตลาดคริปโต พร้อมส่งเสริมให้ภาคส่วนดังกล่าวนำกฎระเบียบต่าง ๆ ไปใช้ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ตามผลการรายงานจากก.ล.ต. ในช่วงระหว่างปี 2013 จนถึงสิ้นปี 2021 ทางหน่วยงานตรวจพบว่ามีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไปแล้วทั้งหมดกว่า 97 ฉบับ พร้อมกันนี้จำนวนเงินที่ทางหน่วยงานได้รับจากการสั่งปรับไปแล้วนั้นมีมูลค่าสูงประมาณ 2.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
Nvidia เคยชนะคดีความที่คล้ายกันนี้มาแล้ว
แม้ว่า Nvidia จะตอบตกลงที่จะจ่ายค่าปรับตามที่ทางก.ล.ต. ได้คาดโทษเอาไว้ รวมไปถึงการยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ทางหน่วยงานได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก้ตาม แต่ทว่า ในช่วงก่อนหน้าที่ ทาง Nvidia เคยชนะคดีความในลักษณะใกล้เคียงกันเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2021 ที่ผ่านมา ไปแล้ว โดย ณ ขณะนั้น ผู้พิพากษาศาลส่วนกลาง (Federal Judge) รับฟังคำร้องจากทีมกฎหมายของบริษัทในการยกฟ้องข้อกล่าวหาที่ว่าบริษัทผู้ผลิต GPU ประกอบกิจการอย่างประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถเปิดเผยรายได้จำนวนมหาศาลที่ได้รับจากการจัดจำหน่ายเครื่องขุดคริปโตนับตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปี 2018 ได้นั่นเอง
ก.ล.ต. สหรัฐฯจับมือ CFTC คุ้มเข้มคริปโต
จากการออกมาเพ่งเล็งบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมคริปโตของทางก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดทางด้านกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยล่าสุด Gary Gensler ประธานสำนักงานก.ล.ต.เสนอให้ความร่วมมือกับองค์กรกํากับดูแลการซื้อขายอนุพันธ์ของสหรัฐอเมริกา (CFTC) ในการหาแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี โดยทางองค์กรระบุว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับตลาดทุน รวมไปถึงการคุ้มครอง และอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้กับผู้บริโภค พร้อมกันนี้ยังอาสาที่จะเข้ามาดูแลกลไกของตลาดให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทางก.ล.ต. ยังเพ่งเล็งที่จะเข้าควบคุมเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี และ โทเคนประเภทอื่น ๆ เพื่อเข้าควบคุมบริษัทให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รวมไปถึงปกป้องนักลงทุนรายย่อยจากการถูกอาชญากรไซเบอร์หลอกลวง และปัญหาด้านการปั่นราคาของเหรียญดิจิทัลอีกด้วยเช่นเดียวกัน