Coinbase เล็งเผยรายชื่อโทเคนบนแพลตฟอร์มปี 2022
ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะสร้างความโปร่งใสในตลาด ทำให้ Coinbase เล็งเผยรายชื่อโทเคนจำนวนกว่า 50 รายการที่อาจได้รับการยอมรับในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะสร้างความโปร่งใสในตลาด ทำให้ Coinbase เล็งเผยรายชื่อโทเคนจำนวนกว่า 50 รายการที่อาจได้รับการยอมรับในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
เมื่อวันอังคารที่ 12 เมษายน บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาอย่าง Coinbase เล็งเผยรายชื่อโทเคนที่มีสิทธิ์ได้รับการขึ้นทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2022 จำนวนมากเพื่อแสดงจุดประสงค์ในการพยายามเพิ่มความโปร่งใสให้กับองค์กร ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในรายชื่อโทเคนเหล่านั้น ประกอบไปด้วยเหรียญ 45 ERC-20 บนเครือข่าย Ethereum และโทเคน SPL บนเครือข่าย Solana รวมไปถึง Binance USD (BUSD) ที่ถูกจัดให้เป็นเหรียญ Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 3 ในตลาด และยังเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ BitDAO (BIT) ที่ใหญ่ที่สุด ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ขณะนั้น อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
จุดประสงค์หลักที่ทำให้ Coinbase เล็งเผยรายชื่อโทเคนบนแพลตฟอร์ม
แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนชื่อดังได้ออกมาอธิบายถึงความตั้งใจในการพยายามส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันของการเข้าถึงข้อมูลตลาด (Information Symmetry) อย่างประสิทธิภาพ และยุติธรรมกับตลาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ Coinbase ยังพยายามที่จะลดโอกาสการเกิดปัญหา Pump-and-Dump หรือ การจัดการราคาที่ผู้ตั้งเป้าตั้งใจจะผลักดันราคาสินทรัพย์ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยการร่วมกันซื้อสินทรัพย์เอาไว้ในเวลาใกล้เคียงกันเพื่อทำกำไร จะเห็นได้จากในปี 2020 เครือข่าย OMG สามารถทำกำไรภายหลังจากได้รับการขึ้นทะเบียนบนแพลตฟอร์มของ Coinbase เพียง 15 นาที ทะลุขึ้นไปถึง 200% ก่อนจะร่วงลงมาอย่างหนักในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวยังคงเรียกได้ว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนทั้งในระบบ Centralized และ Decentralized อยู่ โดยทางด้าน Coinbase เองก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการออกมาดำเนินการดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
Coinbase ต้องการจูงใจนักลงทุน
โปรเจกต์ในครั้งนี้ยังมีเป้าหมายที่จะชักจูงให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับการขึ้นทะเบียนของ Coinbase เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้โทเคนที่น่าสนใจอีกโปรเจกต์หนึ่งอย่าง Big Data Protocol ที่จะเข้ามาให้บริการด้านการแปลงข้อมูลให้เป็นโทเคน (Data Tokenizer) ด้วยระบบ Decentralized Finance (DeFi) ขนาดเล็ก ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความเฉลิมฉลองบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์หลัง Coinbase กำลังเตรียมพิจารณาขึ้นทะเบียนให้กับโทเคนของตน
นักลงทุนบางรายผิดหวังกับการกระทำของ Coinbase
ในทางกลับกัน แม้ว่าการเพิ่มความโปร่งใสให้กับองค์กรนั้นอาจสร้างประโยชน์ให้กับบรรดานักลงทุน และโปรเจกต์ต่าง ๆ แต่ทว่าหนึ่งในนักเทรดคริปโตชื่อดังบนทวิตเตอร์อย่าง 12yearoldwithcc กลับมองว่ารายชื่อโทเคนที่มีสิทธิ์จะได้รับการพิจารณาให้การรองรับบนแพลตฟอร์มนั้นยังขาดแรงจูงใจอยู่ โดยเขาได้โพสต์แสดงความคิดเห็นของเขาต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า
“Coinbase กำลังอยู่ในยุคที่น่าผิดหวังอย่างมาก”
ตลาดคริปโตสนใจภาพยนต์ BAYC ที่ Coinbase เตรียมสร้างมากกว่า
แม้ว่าโปรเจกต์การสร้างความโปร่งใสของ Coinbase อาจยังไม่สามารถจูงใจนักลงทุนได้มากเท่าที่ควรก็ตาม แต่ทว่ายังคงมีผู้เล่นอีกหลายรายที่กำลังให้ความสนใจต่อความมุ่งมั่นสร้างโปรเจกต์ชิ้นใหม่อีกตัวหนึ่งของแพลตฟอร์มอยู่ ซึ่งก็คือการผลิตภาพยนตร์ทั้งหมด 3 เรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคอลเลกชัน Non-Fungible Token (NFT) ของ Bored Ape Yacht Club (BAYC) นั่นเอง
ทั้งนี้ Coinbase ได้เสนอสิทธิ์ในการนำ NFT ของเหล่าผู้ถือครอง BAYC ไปใช้ในภาพยนต์ ด้วยมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้คนบางกลุ่มอย่างมาก จนทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเตือนสมาชิกในชุมชนของพวกเขาไม่ให้ตอบตกลงในข้อเสนอดังกล่าวอย่างเด็ดขาด
อุปสรรคครั้งใหญ่ของ Coinbase
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Coinbase ต้องพบเจอกับความปั่นป่วนมากมายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากบริษัทได้ตัดสินใจเปิดตัวบริการเทรดคริปโตในประเทศอินเดียอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา แต่ทว่าทางบริษัทกลับต้องดำเนินการระงับการให้บริการซื้อขายลงอย่างกะทันหัน เนื่องด้วยการแสดงจุดยืนของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินภายในประเทศ ที่ยังคงไม่ให้การยอมรับระบบชำระเงินดังกล่าว พร้อมทั้งออกมาประกาศแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายน เช่นเดียวกัน ในขณะที่ประชาชนชาวอินเดียเองต่างก็ชินชากับความยุ่งยาก และความไม่แน่นอนของระบบชำระเงินภายในประเทศ โดย Aditya Singh ผู้ร่วมจัดตั้งช่อง Crypto India ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ ระบุว่า
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนในประเทศอินเดียยังคงเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับระบบชำระเงินมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ปี 2018”