ข่าวต่างประเทศ

BlackRock ขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดต่างประเทศ เดินหน้าเปิดตัว Ethereum ETF ในบราซิล

BlackRock ขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดต่างประเทศ เดินหน้าเปิดตัว Ethereum ETF ในบราซิล

BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนคริปโตในบราซิลด้วยการเปิดตัว iShares Ethereum Trust ผ่านใบฝากหลักทรัพย์ (Depositary Receipt)

BlackRock ยังคงขยายอาณาจักรการลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทได้จดทะเบียน Ethereum ETF บนตลาดหลักทรัพย์ B3 ของประเทศบราซิลผ่านใบฝากหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับคริปโตเคอร์เรนซีในตลาดละตินอเมริกา

ตามการรายงานของสื่อในบราซิล นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยสามารถซื้อขาย iShares Ethereum Trust (ETHA) ของ BlackRock ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ ETHA39

ใบรับฝากหลักทรัพย์ (Depositary Receipt)  เป็นหลักทรัพย์ที่ใช้แทนหุ้นในบริษัทหรือกองทุนต่างประเทศ โดยมักซื้อขายในสกุลเงินท้องถิ่นและมีสินทรัพย์ต้นฉบับเป็นหลัก ในกรณีของ BlackRock ที่กำลังเปิดตัว Ethereum ETF ในตลาดบราซิล หุ้นจะถูกเสนอขายในราคาเทียบเท่าหนึ่งในสามของมูลค่าดั้งเดิม ซึ่งหมายความว่านักลงทุนในบราซิลจะสามารถซื้อหุ้นของ ETF Ethereum ได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป เพื่อดึงดูดนักลงทุนในท้องถิ่นให้เข้ามาลงทุนใน ETF Ethereum หรือเพื่อปรับราคาให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและกำลังซื้อของนักลงทุนในประเทศ

ค่าธรรมเนียมการดูแลของ iShares Ethereum Trust (ETHA) จะอยู่ที่ 0.25% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับค่าธรรมเนียมของ Spot Ethereum ETF ในสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับนักลงทุนในประเทศบราซิล ค่าธรรมเนียมนี้จะลดลงเหลือเพียง 0.12% ในปีแรก หรือจนกว่ากองทุนจะมียอดสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเกินกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์

การเปิดตัว Ethereum ETF นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ BlackRock ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว iShares Bitcoin Trust ในบราซิลไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน Cristiano Castro ผู้อำนวยการ BlackRock ในบราซิล เผยในการสัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า

IBIT เป็น ETF ที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในระยะเวลาเพียงสามเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เหลือล้นของผลิตภัณฑ์นี้ ( Bitcoin ETF) กลยุทธ์ของ BlackRock คือการตอบสนองความต้องการนี้และทำให้นักลงทุนเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนดิจิทัลได้ง่ายยิ่งขึ้นในตลาดทุน

Cristiano Castro ผู้อำนวยการของ BlackRock ในบราซิล

บราซิลถือเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่อนุญาตให้มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์คริปโตในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยกองทุนใหม่ของ BlackRock นักลงทุนชาวบราซิลจะมีทางเลือกในการลงทุนใน ETF หรือใบฝากหลักทรัพย์ที่ให้การเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลถึง 15 กองทุน และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลภายในประเทศได้อนุมัติการเปิดตัว Spot Solana ETF เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มซื้อขายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

สัดส่วนปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศบลาซิล ( ที่มา : Kaiko )
สัดส่วนปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศบลาซิล ( ที่มา : Kaiko )

ตามข้อมูลจาก Felipe Gonçalves ผู้อำนวยการตลาดหลักทรัพย์ B3 ของบราซิล ปัจจุบันมีนักลงทุนกว่า 180,000 รายถือครองผลิตภัณฑ์คริปโตรวมมูลค่าประมาณ 5.5 พันล้านเรียลบราซิล หรือประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการซื้อขายคริปโตในประเทศพุ่งสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงห้าเดือนแรกของปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปีที่แล้ว

ที่มา : Cointelegraph

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง

ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล

Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว

ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

เหรียญคริปโตกลุ่ม AI และ Big Data พุ่งทะยาน 131% ท่ามกลางกระแสขาขึ้นของ Bitcoin
Bitcoin พลิกเกม! MicroStrategy กำไรพุ่งทะลุเพดาน แซงหน้า Apple, Amazon
Sky เปิดตัว USDS Stablecoin ตัวใหม่! บน Solana พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 5 แสนดอลลาร์
BlackRock Bitcoin ETF Options สร้างสถิติใหม่! มียอดซื้อขายวันแรกทะลุ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์