ข่าว Bitcoin

ความยากในการขุด Bitcoin ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี

Photo 1617854554506 9fe3abaa8632.jpg

สถานการณ์ของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 อย่าง Bitcoin (BTC) นั้นไม่สู้ดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ เนื่องจากทั้งทางฝั่งเหล่านักขุด และฝั่งนักลงทุน ต่างเจอปัญหาเขาไปแบบเต็ม ๆ

เหล่าสายขุดมีเครียด เพราะล่าสุด Glassnode ได้ออกมาประกาศถึงชุดข้อมูลใหม่ที่พวกเขาเพิ่งค้นพบซึ่งระบุว่าความยากในการขุด Bitcoin แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยทางผู้ให้บริการข้อมูลแบบ On-chain รายนี้ได้กล่าวเอาไว้ว่า

“ความยากในการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้น 21.5% ในวันนี้ นับเป็นการปรับความยากเชิงบวกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี”

“ระดับความยากในการขุด” คืออะไร?

ทั้งนี้เจ้าคำว่า “ระดับของความยากในการขุด” นั้นจะถูกพิจารณาได้จากปริมาณพลังงานคอมพิวเตอร์ที่ใช้โดยเครือข่าย BTC ทั้งหมด และนำมันมมาเทียบกับ Hashrate หรือหน่วยวัดกำลังในการขุดของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายบล็อคเชน (Blockchain) ที่ได้รับ ซึ่งเจ้ามาตรวัดตัวนี้นี้ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผล และแก้ไขปัญหาที่จะทำให้ธุรกรรมได้รับการอนุมัติ และยืนยันผ่านเครือข่ายได้นั่นเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากมีเหล่าสายขุดเข้าร่วมเครือข่าย BTC มากขึ้น นั่นยิ่งจำเป็นต้องมีการคาดเดาเชิงคำนวณต่อวินาทีเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหา เป็นผลให้ Hashing Power หรือพลังในการขุดจะเพิ่มขึ้นตามด้วยระดับความยากของการขุด Bitcoin ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นั่นแปลว่า ณ ปัจจุบันนี้มีคนแห่มาขุด Bitcoin มากขึ้นนั่นเอง

ทั้งนี้เมื่อต้นเดือนที่แล้วก็มีเหตุทำให้ Hashrate ของกลุ่มการขุด BTC ต่าง ๆ ลดลงเนื่องจากไฟดับในภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

ค่าใช้จ่ายในการประกัน Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้น

นอกจากเหล่าสายขุดจะประสบปัญหากับระดับความยากในการขุดที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ทางฝั่งนักลงทุน Bitcoin ก็เจองานหนักไม่แพ้กัน โดยทางผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับ Crypto อย่าง Skew ได้ระบุไว้ว่า

“ค่าใช้จ่ายในการประกันท่ามกลางการปรับฐานกว่า 20%+ ของ Bitcoin ในช่วงสามเดือนข้างหน้าได้พุ่งสูงขึ้นด้วยการเทขายในชั่วข้ามคืน”

ราคาของ Bitcoin (BTC) ร่วงลงเกือบ 10,000 ดอลลาร์จาก 55,000 ดอลลาร์เป็น 46,000 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พฤษภาคม) และท่าทีของเจ้าสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำตัวนี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย เพราะ ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของมันอยู่ที่ 45,466 ดอลลาร์

ซึ่งผู้คนมากมายในตลาดเชื่อว่าราคาที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก FUD ซึ่งย่อมาจาก Fear ความกลัว, Uncertainty ความไม่แน่นอน และ Doubt ความสงสัย ตัวอย่างเช่น Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันตัดสินใจที่จะไม่รับการชำระเงิน BTC อีกต่อไปเนื่องจากเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนเกิดอาการ FUD แทบจะในทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อกันแน่

โดยทาง Tesla นั้นระบุอย่างชัดเจนว่า “การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับการขุด Bitcoin และการทำธุรกรรมโดยเฉพาะเชื้อเพลิงจากถ่านหินซึ่งมีการปล่อยเชื้อเพลิงที่เลวร้ายที่สุด” อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของ Telsa ยังผลักดันค่าประกันจากการปรับฐานของ BTC ให้สูงขึ้น

Rick Rieder ผู้ดำรงตำแหน่ง CIO ของ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก นั้นเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นจริงแม้ว่าท้ายที่สุดมันจะได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว เขาเสริมว่า Bitcoin มีความทนทาน และจะเป็นส่วนหนึ่งของเวทีการลงทุนในอีกหลายปีข้างหน้า

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

BitMine ทุ่ม 199 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อ Ether ขณะที่นักเทรดกลุ่ม ‘Smart Money’ กำลังวางเดิมพันขาลง
รายงานจาก Galaxy เผย! บริษัทถือครอง Bitcoin เข้าสู่ “ช่วงเอาตัวรอด” หลังมูลค่าหุ้นดิ่งและพรีเมียมหายวับ
ข้อมูลจาก Binance เผยทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่รอบต่อไปของ Bitcoin
เชื่อมั่นของ XRP ดิ่งลงสู่ “โซนแห่งความกลัว” แต่ Santiment ชี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการฟื้นตัว