ความยากในการขุด Bitcoin ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี
สถานการณ์ของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 อย่าง Bitcoin (BTC) นั้นไม่สู้ดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ เนื่องจากทั้งทางฝั่งเหล่านักขุด และฝั่งนักลงทุน ต่างเจอปัญหาเขาไปแบบเต็ม ๆ
สถานการณ์ของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 อย่าง Bitcoin (BTC) นั้นไม่สู้ดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ เนื่องจากทั้งทางฝั่งเหล่านักขุด และฝั่งนักลงทุน ต่างเจอปัญหาเขาไปแบบเต็ม ๆ
เหล่าสายขุดมีเครียด เพราะล่าสุด Glassnode ได้ออกมาประกาศถึงชุดข้อมูลใหม่ที่พวกเขาเพิ่งค้นพบซึ่งระบุว่าความยากในการขุด Bitcoin แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยทางผู้ให้บริการข้อมูลแบบ On-chain รายนี้ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“ความยากในการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้น 21.5% ในวันนี้ นับเป็นการปรับความยากเชิงบวกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี”
“ระดับความยากในการขุด” คืออะไร?
ทั้งนี้เจ้าคำว่า “ระดับของความยากในการขุด” นั้นจะถูกพิจารณาได้จากปริมาณพลังงานคอมพิวเตอร์ที่ใช้โดยเครือข่าย BTC ทั้งหมด และนำมันมมาเทียบกับ Hashrate หรือหน่วยวัดกำลังในการขุดของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายบล็อคเชน (Blockchain) ที่ได้รับ ซึ่งเจ้ามาตรวัดตัวนี้นี้ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผล และแก้ไขปัญหาที่จะทำให้ธุรกรรมได้รับการอนุมัติ และยืนยันผ่านเครือข่ายได้นั่นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากมีเหล่าสายขุดเข้าร่วมเครือข่าย BTC มากขึ้น นั่นยิ่งจำเป็นต้องมีการคาดเดาเชิงคำนวณต่อวินาทีเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหา เป็นผลให้ Hashing Power หรือพลังในการขุดจะเพิ่มขึ้นตามด้วยระดับความยากของการขุด Bitcoin ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นั่นแปลว่า ณ ปัจจุบันนี้มีคนแห่มาขุด Bitcoin มากขึ้นนั่นเอง
ทั้งนี้เมื่อต้นเดือนที่แล้วก็มีเหตุทำให้ Hashrate ของกลุ่มการขุด BTC ต่าง ๆ ลดลงเนื่องจากไฟดับในภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
ค่าใช้จ่ายในการประกัน Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้น
นอกจากเหล่าสายขุดจะประสบปัญหากับระดับความยากในการขุดที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ทางฝั่งนักลงทุน Bitcoin ก็เจองานหนักไม่แพ้กัน โดยทางผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับ Crypto อย่าง Skew ได้ระบุไว้ว่า
“ค่าใช้จ่ายในการประกันท่ามกลางการปรับฐานกว่า 20%+ ของ Bitcoin ในช่วงสามเดือนข้างหน้าได้พุ่งสูงขึ้นด้วยการเทขายในชั่วข้ามคืน”
ราคาของ Bitcoin (BTC) ร่วงลงเกือบ 10,000 ดอลลาร์จาก 55,000 ดอลลาร์เป็น 46,000 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พฤษภาคม) และท่าทีของเจ้าสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำตัวนี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย เพราะ ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของมันอยู่ที่ 45,466 ดอลลาร์
ซึ่งผู้คนมากมายในตลาดเชื่อว่าราคาที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก FUD ซึ่งย่อมาจาก Fear ความกลัว, Uncertainty ความไม่แน่นอน และ Doubt ความสงสัย ตัวอย่างเช่น Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันตัดสินใจที่จะไม่รับการชำระเงิน BTC อีกต่อไปเนื่องจากเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนเกิดอาการ FUD แทบจะในทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อกันแน่
โดยทาง Tesla นั้นระบุอย่างชัดเจนว่า “การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับการขุด Bitcoin และการทำธุรกรรมโดยเฉพาะเชื้อเพลิงจากถ่านหินซึ่งมีการปล่อยเชื้อเพลิงที่เลวร้ายที่สุด” อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของ Telsa ยังผลักดันค่าประกันจากการปรับฐานของ BTC ให้สูงขึ้น
Rick Rieder ผู้ดำรงตำแหน่ง CIO ของ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก นั้นเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นจริงแม้ว่าท้ายที่สุดมันจะได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว เขาเสริมว่า Bitcoin มีความทนทาน และจะเป็นส่วนหนึ่งของเวทีการลงทุนในอีกหลายปีข้างหน้า