กฎหมาย และประกาศ

ไม่ถูกปรับ! ศาลสั่งให้ Voyager ออก Bankruptcy Token เพื่อชดเชยให้กับผู้เสียหายในคดีล้มละลาย

ศาลตัดสินให้ Voyager ออก Bankruptcy Token

Michael Wiles ผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ตัดสินให้ SEC ไม่มีอำนาจปรับผู้บริหารของ Voyager พร้อมทั้งอนุมัติแผนขายสินทรัพย์ทั้งหมดให้กับ Binance.US

Michael Wiles ผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ไม่อนุญาตให้ ก.ล.ต. สหรัฐดำเนินการปรับผู้บริหาร Voyager Digital หลังจากที่ทาง ก.ล.ต. ได้ร้องให้ทางผู้พิพากษาพิจารณาคัดค้านแผนการเข้าซื้อบริษัทของ Binance.US และ สั่งปรับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้ Voyager ล้มละลาย

<i>หนังสือคัดค้านการเข้าซื้อบริษัท Voyager ของ ก.ล.ต.<br>รูปภาพ:&nbsp;Stretto</i>
หนังสือคัดค้านการเข้าซื้อบริษัท Voyager ของ ก.ล.ต.
รูปภาพ: Stretto

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ในการรับฟังการไต่สวนครั้งที่สาม ของคดี Voyager โดยครั้งนี้ทางผู้พิพากษาได้ตัดสินออกคำสั่งให้ Voyager Digital ทำการออกเหรียญ Bankrupcy Token เพื่อชดเชยให้กับนักลงทุนที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงอณุมัติให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมด 1 พันล้านดอลลาร์ให้กับกระดานและเปลี่ยน Binance.US

หมายความว่าทั้งผู้บริหารและที่ปรึกษาของ Voyager จะได้รับความคุ้มครองจากการถูกฟ้องร้อง ในขณะที่พวกเขายังดำเนินตามขั้นตอนของแผนล้มละลายและได้รับการอนุมัติจากศาล โดยศาลได้มีกำหนดวันตัดสินถอน Voyager Digital ออกจากบริษัทล้มละลายตาแผนการปรับโครงสร้างกับ Binance.US ในวันที่ 19 ธันวาคม

Michael Wiles กล่าวเพิ่มเติมว่าหากปล่อยให้ ก.ล.ต. ได้รับอำนาจในการสั่งปรับแล้วเหมือนเป็นการปล่อยดาบให้ห้อยอยู่บนหัวทุกคนที่กำลังจะทำธุรกรรมนี้อีกหลายคน

ในขณะที่ทาง Therese Scheuer ทนายฝั่ง ก.ล.ต. ได้โต้แย้งถึงการตัดสินครั้งนี้ว่า 'ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง' เพราะคำตัดสินนี้จะเป็นการคุ้มครองให้พนักงานและทนายความของ Voyager สามารถละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ได้ได้รับการอนุมัติจากศาล

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

เหรียญคริปโตกลุ่ม AI และ Big Data พุ่งทะยาน 131% ท่ามกลางกระแสขาขึ้นของ Bitcoin
Bitcoin พลิกเกม! MicroStrategy กำไรพุ่งทะลุเพดาน แซงหน้า Apple, Amazon
Sky เปิดตัว USDS Stablecoin ตัวใหม่! บน Solana พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 5 แสนดอลลาร์
BlackRock Bitcoin ETF Options สร้างสถิติใหม่! มียอดซื้อขายวันแรกทะลุ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์