90% ของบิทคอยน์ (BTC) ทั้งหมดในโลกนี้ได้ถูกขุดไปแล้ว
เหลือบิทคอยน์ (BTC) อีกเพียง 10 % เท่านั้นที่ยังไม่ได้ถูกขุด ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ Halving ครั้งล่าสุด โดยคาดว่าจะใช้เวลาอีก 119 ปีจากนี้ไปกว่าการขุดบิทคอยน์จะเสร็จสิ้นครบ 21 ล้านเหรียญ
เหลือบิทคอยน์ (BTC) อีกเพียง 10 % เท่านั้นที่ยังไม่ได้ถูกขุด ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ Halving ครั้งล่าสุด โดยคาดว่าจะใช้เวลาอีก 119 ปีจากนี้ไปกว่าการขุดบิทคอยน์จะเสร็จสิ้นครบ 21 ล้านเหรียญ
ประเด็นสรุป
- 90% ของบิตคอยน์ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญได้ถูกขุดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ Halving ครั้งล่าสุด
- คาดว่าจะใช้เวลาอีก 119 ปีจากนี้ไป กว่าการขุดบิทคอยน์จะเสร็จสิ้นครบ 21 ล้านเหรียญ
- บิทคอยน์เหรียญสุดท้ายอาจต้องใช้เวลาเกือบ 40 ปีในการขุดเลยทีเดียว
ข้อมูลจาก Clark Moody Bitcoin Dashboard เผยว่า 90% ของจำนวนบิทคอยน์ทั้งหมด ได้ถูกขุดเรียบร้อยแล้ว การที่เครือข่ายการเงินมีความก้าวหน้าในการใช้งานทั่วโลก ทำให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับ BTC อย่างมาก
เครือข่ายบิทคอยน์ ซึ่งเป็นรูปแบบเงินสดดิจิทัลที่สามารถแก้ปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน (double-spending) ที่เชื่อถือได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อุปทานของ BTC มีจำกัดที่ 21 ล้านดอลลาร์ผ่านโปรโตคอลฉันทามติที่ดำเนินการโดยโหนดนับหมื่นทั่วโลก
นโยบายการเงินที่หละหลวมในปัจจุบัน และการพิมพ์เงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บิทคอยน์น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่า สกุลเงิน fiat หรือสกุลเงินปกติที่เราใช้กันนั้นมีนโยบายด้านอุปทานและการเงินที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการตัดสินใจของคนเพียงไม่กี่คน
เงินอิเล็กทรอนิกส์แบบ peer-to-peer (P2P) นั้นฟังดูดี และตรงกันข้ามกับสกุลเงินปกติ เนื่องจากไม่มีใครที่มีอำนาจในการเพิ่มอุปทานของ บิทคอยน์ได้ เครือข่าย BTC เปรียบได้กับ "กฎที่ไม่มีผู้ปกครอง"
อุปทานที่จำกัดของบิทคอยน์ (BTC)
อุปทานหมุนเวียนทั้งหมดของบิทคอยน์ ได้บรรลุระดับที่สำคัญในเช้าวันจันทร์ ขณะนี้ 90% ของบิตคอยน์ทั้งหมดได้ถูกขุดไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ Halving ครั้งล่าสุด
ปัจจุบัน บล็อกเชนบิตคอยน์ ได้ให้รางวัลการขุดจำนวน 6.25000000 BTC ซึ่งรางวัลจากการขุดจะลดลงครึ่งนึงทุก ๆ 4 ปี นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า “Bitcoin Halving” นั่นเอง โดยเหตุการณ์ Halving ครั้งต่อไปคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม ปี 2024 ซึ่งรางวัลจากการขุดจะลดลงจาก 6.25 เป็น 3.125 โดยผู้สร้าง BTC อย่าง Satoshi Nakamoto เขียนโค้ดให้มันมีอุปทานสูงสุดจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
ข้อมูลปัจจุบันจาก Blockchain.com แสดงให้เห็นว่า มีการหมุนเวียนของบิทคอยน์อยู่ที่ 18.899 ล้านเหรียญ ณ วันจันทร์ ซึ่งหมายความว่าเหลือเพียง 10% ของอุปทานทั้งหมดเท่านั้นที่ยังไม่มีการขุด ในขณะที่ 90% แรกของ BTC ใช้เวลาประมาณ 12 ปีในการขุด ส่วนที่เหลือจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย
คาดว่าจะใช้เวลาอีก 119 ปีจากนี้ไปกว่าการขุดบิทคอยน์จะเสร็จสิ้น เนื่องจากอัตราการผลิตบิทคอยน์ใหม่จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ สี่ปีดังที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
ภายในปี 2040 รางวัลบล็อกจะลดลงเหลือน้อยกว่า 0.2 BTC และเหลือเพียง 80,000 เหรียญจาก 21 ล้านเหรียญ เท่านั้น ซึ่งบิทคอยน์เหรียญสุดท้ายจะใช้เวลาเกือบ 40 ปีในการขุดเลยทีเดียว
ราคา BTC เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ด้วยการถูกปฏิเสธที่ระดับ 50,000 ดอลลาร์อีกครั้ง ราคาได้ลดลงเกือบ 30% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) ที่ 68,789 ดอลลาร์สหรัฐฯ
บิทคอยน์ถูกใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
สกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลกได้กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในฐานะสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้าม สถาบันหลายแห่งได้เพิ่ม BTC ลงในพอร์ตการลงทุนของตน เพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยอุปทานบิทคอยมากกว่า 90% ที่ถูกขุดไปแล้ว ความขาดแคลนจึงชัดเจนยิ่งขึ้นในขณะนี้ สถาบันหลัก ๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังซื้อ BTC และให้ความชอบธรรมของสกุลเงินดิจิตอลดั้งเดิม ไม่เหมือนเมื่อก่อน
ก่อนหน้านี้ นักกลยุทธ์จาก JPMorgan ยักษ์ใหญ่ด้านการธนาคารใน Wall Street ได้แนะนำว่า การจัดสรรพอร์ต 1% ในบิทคอยน์ สามารถใช้เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์ประเภทเดิมได้ นอกจากนี้นักลงทุนมหาเศรษฐีอย่าง Carl Icahn ได้ใช้ BTC เพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน เป็นที่น่าสนใจว่าบิทคอยน์จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่?
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ