Bitcoin ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ที่ $108,865 ท่ามกลางแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในตลาด Futures แต่ข้อมูลจาก Hyblock ชี้ว่านักลงทุนในตลาด Spot เริ่มกลับเข้ามาซื้อเพิ่ม โดยมีโอกาสหนุนให้ราคาฟื้นตัวจากโซนแนวรับบริเวณ $107,000
ราคาของ Bitcoin อาจพุ่งแตะระดับ $116,000 ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ท่ามกลางสัญญาณบวกจาก 3 ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อแนวโน้มขาขึ้น ทั้งแรงซื้อจาก ETF ที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปริมาณเหรียญในตลาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์เตือน Bitcoin ต้องหลีกเลี่ยงการร่วงต่ำกว่าแนวรับ $100,000 แม้มีสัญญาณบวกจากตัวเลขเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถึง 55% ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง
XRP ETF ดูดซับเหรียญกว่า 506 ล้านโทเค็นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน หนุนแนวโน้มราคาขาขึ้น และเพิ่มโอกาสให้ XRP ทำจุดสูงสุดใหม่ภายในปี 2026

Eric Balchunas ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุน ETF ระบุว่า Bitcoin ที่ยืนหยัดมาได้นานถึง 17 ปี และการฟื้นตัวจากวิกฤตหลายครั้ง ทำให้การเปรียบเทียบกับภาวะฟองสบู่ทิวลิปนั้นล้าสมัยไปแล้ว แม้จะมีการวิจารณ์อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

นักวิเคราะห์จาก Bitfinex ชี้ถึงปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น สภาวะ "การล้างสัญญาเก็งกำไรขั้นรุนแรง" และตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้ Bitcoin สามารถรักษาฐานราคาไว้ได้และมีศักยภาพในการปรับตัวสูงขึ้นต่อไป

รัฐบาลท้องถิ่นของเท็กซัสเข้าถือ Spot Bitcoin ETF และจัดสรรอีก 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับการเข้าซื้อ Bitcoin โดยตรงผ่านการเก็บรักษาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับรัฐของสหรัฐฯ ที่กำลังเพิ่มขึ้น


การซื้อ Bitcoin สะสม โดยบริษัทคริปโทขนาดใหญ่เริ่มชะลอตัวลง แต่บริษัทนักขุดอย่าง Marathon Digital, Riot Platforms และ Hut 8 กำลังกลายเป็นผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการยอมรับระดับองค์กร

ตลาดคริปโตฟื้นตัวเล็กน้อยหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะมีการดีดตัวครั้งใหญ่ตามสถิติที่เกิดขึ้นหลังการลดดอกเบี้ย

ค่าธรรมเนียมบน XRP Ledger ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงและโครงสร้างทางเทคนิคที่อ่อนแรง เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาอาจร่วงลงอีกกว่า 15%

รายงาน Sygnum APAC HNWI Report 2025 พบว่า มหาเศรษฐีในเอเชียกว่า 87% มีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว โดยมีสัดส่วนเฉลี่ยราว 17% ของพอร์ต และส่วนใหญ่เห็นว่าคริปโตเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งระยะยาว ไม่ใช่แค่เพื่อเก็งกำไร