เหรียญ Solana คืออะไร? ทำไม Ethereum Killer ตัวนี้ถึงโดดเด่นจากเหรียญอื่น ๆ
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จาก Bank of America กล่าวว่า บล็อคเชน Solana อาจเป็น Visa ของเครือข่ายคริปโตได้ เหรียญ Ethereum Killer ตัวนี้น่าสนใจอย่างไร วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จัก SOL ให้ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จาก Bank of America กล่าวว่า บล็อคเชน Solana อาจเป็น Visa ของเครือข่ายคริปโตได้ เหรียญ Ethereum Killer ตัวนี้น่าสนใจอย่างไร วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จัก SOL ให้ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จาก Bank of America กล่าวว่า บล็อคเชน Solana อาจเป็น Visa ของเครือข่ายคริปโตได้ เหรียญ Ethereum Killer ตัวนี้น่าสนใจอย่างไร วันนี้คริปโตสยามจะพาผู้อ่านไปรู้จักเหรียญ Solana (SOL) ให้ดีขึ้น
เหรียญ Solana (SOL) คืออะไร?
เหรียญ Solana (SOL) เป็นหนึ่งในคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัลนี้ถูกเรียกว่า Solana ในขณะที่โทเค็นดั้งเดมเรียกว่า SOL
Solana สร้างขึ้นโดย Anatoly Yakovenko เป็นบล็อกเชนที่ทำงานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบกระจายอำนาจ โดยใช้บัญชีแยกประเภทที่เรียกว่าบล็อคเชน ฐานข้อมูลบล็อคเชนนี้จัดการและติดตามสกุลเงินได้ และมีการบันทึกทุกธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นในสกุลเงินนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ใบเสร็จรับเงินที่ดำเนินมายาวนาน เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถบันทึกธุรกรรมในสกุลเงิน และยืนยันความสมบูรณ์ของข้อมูลได้เป็นอย่างดี
เครือข่ายแบบกระจายอำนาจนี้ ทำให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนกลาง Solana เรียกตัวเองว่าบล็อคเชนที่เร็วที่สุดในโลก และแสดงความสามารถในการตรวจสอบธุรกรรม 65,000 รายการต่อวินาที โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหนึ่งเพนนีในแต่ละรายการ
ในขณะที่หลายคนคิดว่า Solana เป็นเพียงเหรียญคริปโตสกุลหนึ่ง แต่บล็อกเชน Solana สามารถขับเคลื่อนอะไรได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Smart Contract แอปการเงินแบบกระจายอำนาจ (dApps) NFT และอื่นๆ
อะไรที่ทำให้ Solana โดดเด่นจากเหรียญอื่น ๆ?
ความเร็วในการทำธุรกรรม
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ Solana คือ สามารถประมวลผลธุรกรรมได้ประมาณ 50,000 รายการต่อวินาที (TPS) ขณะที่ Ethereum ประมวลได้ที่ระหว่าง 15 ถึง 45 TPS แม้ว่าจะอยู่ในกระบวนการอัปเกรดเป็น Eth2 ซึ่งจะทำให้เร็วขึ้นมาบ้าง
แม้ว่าความเร็วจะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็มีคริปโตเคอร์เรนซีเพียงไม่กี่สกุลที่เข้าใกล้ Solana ในการแข่งขันนี้ได้ สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ Visa กล่าวว่ามีการดำเนินการได้มากถึง 24,000 TPS ซึ่งหมายความว่า Solana อาจช่วยเครือข่ายการชำระเงินที่มีอยู่เหล่านี้ได้
ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ถูกมาก
ค่าธรรมเนียมของ Solana นั้นถูกมาก โดยอยู่เฉลี่ยที่ 0.000025 ดอลลาร์ต่อธุรกรรม และ Solana กล่าวว่าความสามารถในการปรับขนาดนั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าค่าธรรมเนียมจะยังคงอยู่ที่น้อยกว่า 0.01 ดอลลาร์ต่อธุรกรรมสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ใช้งาน ในทางตรงกันข้าม Ethereum นั้นมีปัญหาเรื่องความแออัดมาก และประมวลผลธุรกรรมได้เพียง 16 ธุรกรรมต่อวินาที โดยมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 14 ดอลลาร์ต่อธุรกรรม ตามข้อมูลของ Etherscan
ก่อนหน้านี้ Alkesh Shah หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลของ Bank of America กล่าวในรายงานว่า “ด้วยต้นทุนการทำธุรกรรม ความเร็ว และความสามารถในการปรับขนาด Solana อาจกลายเป็นวีซ่าของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล”
โปรเจ็คมากมายในระบบนิเวศ
Solana แข่งขันกับ Ethereum และบล็อคเชน Layer 1 อื่น ๆ ในฐานะแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายและการเปิดตัวสินทรัพย์ดิจิทัล แอปพลิเคชัน DeFi และโปรโตคอลการซื้อขาย นอกจากนี้โทเค็น NFT หรือโ non-fungible tokens ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน Solana กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคมปี 2020 มีการทำธุรกรรมบนเครือข่ายมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีเงินจำนวนมูลค่ามากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อคไว้ในโปรโตคอล ตามข้อมูลของ DeFi Llama
Solana มีโปรเจ็คมากกว่า 350 โครงการในระบบนิเวศ ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ที่ให้บริการด้านธนาคารฟรีจากตัวกลาง โปรเจ็กต์โทเค็น Non-fungible tokens (NFT) แอปเกม และอื่นๆ อีกมากมาย NFT เป็นประเภทของสะสมดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งฝังข้อมูลกการเป็นเจ้าของไว้ในสินทรัพย์ ซึ่งกระแส DeFi และ NFT ที่กำลังเฟื่องฟูในขณะนี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเติบโตของ Solana
Proof-of-History
ความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีบล็อคเชนคือ การนำคนกลางออกจากธุรกรรมทุกประเภท ตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ (BTC) เป็นรูปแบบหนึ่งของสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องการการสนับสนุนจากธนาคารหรือรัฐบาล
แต่การไม่มีตัวกลาง เครือข่ายบล็อคเชนต้องการวิธีการอื่นในการรักษาความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการฉ้อโกง บิทคอยน์ใช้รูปแบบ proof-of-work (PoW) โดยจำเป็นต้องมี validators เครือข่ายที่ต้องใช้พลังงานในการคำนวณจำนวนมหาศาล ซึ่งช่วยให้เครือข่ายมีความปลอดภัย แต่ไม่ประหยัดพลังงาน
อีกโมเดลนึงที่เป็นที่นิยมคือ Proof-of-Stake (PoS) ซึ่งจำกัดจำนวน Validators ไว้เฉพาะผู้ที่มีโทเค็นเพียงพอ ทำให้รวดเร็วและยั่งยืน ผู้ที่ stake เหรียญไว้ในระบบจะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญสกุลเงินกลับมา แต่ Solana ก้าวไปอีกขั้น เครือข่ายใช้ Proof-of-History (PoH) ซึ่งจะมีการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมโดยใช้ข้อมูลในอดีต ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว
Solana, Ethereum และเหรียญอื่นๆ ตั้งเป้าที่จะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างการชำระเงินแบบดั้งเดิม และเครือข่ายการเงินกับโลกใหม่ที่มีการกระจายอำนาจของบล็อคเชน ผู้เขียนเชื่อว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมคริปโตที่ดุเดือดตอนนี้เป็นผลดีที่ทำให้ตลาดพัฒนาไปได้อีกมาก อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ เพราะผลตอบแทนของสกุลเงินดิจิทัลในอดีต ไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตเสมอไป
DISCLAIMER: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง มุมมองและความคิดเห็นจากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อในการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นการให้ข้อมูลทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่น ๆ ใด นักลงทุนควรศึกษาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันและมีการควบคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ