ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จับมือ ก.ล.ต. กำหนดแนวทางใช้คริปโตซื้อขายสินค้าและบริการ
ธปท. เตรียมออกแนวทางควบคุมไม่ให้ประชาชนใช้คริปโตซื้อขายสินค้าและบริการกันในวงกว้างแล้ว
ธปท. เตรียมออกแนวทางควบคุมไม่ให้ประชาชนใช้คริปโตซื้อขายสินค้าและบริการกันในวงกว้างแล้ว
ธปท. และ ก.ล.ต. จะกำหนดทิศทางใช้คริปโตซื้อขายของ
ประชาชนเริ่มนิยมใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อขายสินค้าและบริการมากขึ้นโดยเฉพาะการใช้ Internet Banking หรือแม้แต่การนำสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซีมาใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางร้านอาหารต่าง ๆ
แต่ดูเหมือนว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีความกังวลเกี่ยวกับการนำคริปโตมาใช้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 65 ที่ผ่านมาทางธปท. นั้นมองว่าการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระสินค้าและบริการอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคได้
ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคจากการนำคริปโตมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและบริการนั้นไม่ว่าจะเปิดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงินเป็นต้น
อ้างอิงจากประกาศของทาง ธปท. เปิดเผยว่าด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง (กค.) จึงได้หารือร่วมกันถึงประโยชน์และความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล และเห็นความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ
กล่าวโดยสรุปคือทาง ธปท. และ ก.ล.ต. กำลังพิจารณาจะออกแนวทางมากำกับดูแลไม่ให้มีการนำคริปโตมาใช้ซื้อขายสินค้าและบริการในวงกว้างและจะเปิดรับฟังความเห็นประชาชนในประเด็นนี้ต่อไป
เปิดรับฟังความเห็นประชาชนถึงวันที่ 8 ก.พ. 65
การออกแนวทางกำกับดูแลการใช้งานคริปโตมาเป็นสื่อกลางซื้อขายสินค้าและบริการอาจทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากทางสังคมได้ ด้านธปท. และ ก.ล.ต. จึงได้เปิดรับฟังความเห็นประชาชนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ* เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ต่อไป ซึ่งจะเปิดรับฟังความเห็นผ่านทาง https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=776 หรือทาง e-mail: [email protected] หรือ [email protected] จนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565