Blockchain

Starbucks นำเมล็ดพันธุ์กาแฟเข้าสู่เทคโนโลยี Blockchain

Photo 1530997523324 579082289575.jpg

Starbucks แบรนด์กาแฟระดับโลกกำลังก้าวเข้าสู่วงการ Blockchain โดยทำให้เหล่าลูกค้าสามารถติดตามแหล่งที่มาของกาแฟที่พวกเขาดื่มตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดจนถึงขั้นตอนการชง

Starbucks ธุรกิจร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ได้อนุญาติให้เหล่าผู้บริโภคของเขาติดตามต้นกำเนิดของกาแฟของทางร้านได้โดยใช้ Microsoft's blockchain solution ซึ่งเหล่าผู้บริโภคจะสามารถสแกนรหัสที่อยู่บนถุงกาแฟที่พวกเขาซื้อไปเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของกาแฟชนิดนั้น ๆ ได้ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำหรับอธิบายคุณภาพของสินค้า เพื่อตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งของแบรนด์

และที่พิเศษไปกว่าการที่เหล่าแฟนคลับแบรนด์ Starbucks จะสามารถติดตามแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟได้แล้ว แพลตฟอร์มดังกล่าวยังถือเป็นการเปิดโลกทัศน์แก่เหล่าเกษตรกรที่จะได้รับรู้ได้ว่าเมล็ดกาแฟที่พวกเขาปลูกจะไปจบลงที่ไหนเป็นครั้งแรกอีกด้วย

สร้างความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

เครื่องมือใหม่ชนิดนี้ถูกพัฒนาโดยบริษัท Microsoft Corp. ที่ถือเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Blockchain-as-a-serviceชั้นนำผ่าน IBM's Food Trust อันเลื่องชื่อแห่งวงการอาหาร โดยในคราวนี้พวกเขาได้ทำให้ Starbucks สามารถแบ่งปันข้อมูลการตรวจสอบกับลูกค้า

Michelle Burns 1024x1024.jpg
Michelle Burns รองประธานฝ่าย Global Coffee & Tea ของ Starbucks 

Michelle Burns รองประธานบริษัทฝ่าย Global Coffee & Tea กล่าวว่าลูกค้าที่ซื้อกาแฟจากร้าน Starbucks ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาจะสามารถใช้รหัสบนถุงผลิตภัณฑ์เพื่อค้นหาที่มาของเมล็ดกาแฟได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่คั่วกาแฟ แม้กระทั่งการได้รับคำแนะนำในการชงจากบาริสต้า ซึ่งรหัสในลักษณะเดียวกันนี้ได้ถูกมอบให้กับเหล่าเกษตรกรเช่นเดียวกัน เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถติดตามผลผลิตของพวกเขาได้ในที่สุด

“พวกเราสามารถติดตามกาแฟทุกแก้วที่เราซื้อได้จากทุกฟาร์มมากว่าสองทศวรรษแล้ว” Burnsกล่าวในการให้สัมภาษณ์ก่อนการเปิดตัว “นั่นทำให้เรามีรากฐานที่จะสร้างเครื่องมือในการขับเคลื่อนที่เป็นมิตรกับผู้บริโภค ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทได้มอบความไว้วางใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าของเรา เนื่องจากพวกเรารู้ว่ากาแฟของเราทั้งหมดมาจากที่ไหน”

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมในปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาวในกลุ่ม Millennial มีความสนใจในด้านความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น พวกเขาต่างคำนึงถึงการติดตามว่าแหล่งอาหารของพวกเขามาจากที่ไหน เติบโตอย่างไร และอาหารเหล่านั้นถูกผลิตด้วยวิธีที่ยั่งยืนและถูกจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งผู้บริโภคในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ต่างแห่กันไปที่ร้านกาแฟชงสดร้านเล็ก ๆ ที่มีการคั่วกาแฟอยู่ทางด้านหลังของร้าน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เหล่าบริษัทอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ค้าสินค้าทางการเกษตรบางรายสร้างความโปร่งใสให้เกิดมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานของตน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ Starbucks หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเช่นเดียวกัน

Starbucks ไม่ได้มาเล่น ๆ

การติดตามเมล็ดพันธุ์กาแฟกลับไปสู่ระดับเกษตรกรนั้นมีความท้าทายในตัวมันเองอยู่ทีเดียว แต่สำหรับ Starbucks แล้วพวกเขามีข้อมูลครอบคุลมทั้งพื้นที่ และภูมิภาคที่ปลูกเมล็ดพันธุ์ ชุมชนที่จัดส่ง หรือแม้แต่สถานที่ทำความสะอาดเมล็ด

คุณ Burns กล่าวเสริมว่า Starbucksสามารถติดตามได้แม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์นั้นซื้อมาจากผู้ค้าคนไหน เนื่องจากพวกเขาต้องการใบเสร็จการชำระเงินทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม เหล่าเกษตรกรจะยังสามารถเข้าถึงเครื่องมือดังกล่าวได้ด้วย และพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยให้ผู้เพาะปลูกเข้าใจว่าเมล็ดพันธุ์ของพวกเขาจะไปสิ้นสุดที่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ผลิตและเจ้าของฟาร์มชั้นนำจากบราซิล หรือเป็นเกษตรกรรายย่อยจากประเทศแถบแอฟริกาอย่างเอธิโอเปียก็ตาม

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

รายงาน ก.ล.ต. สรุปภาพรวมบัญชีซื้อขายที่ Active ในช่วงต้นเดือน 'เมษายน' ปี 2567
ซีอีโอ Crypto.com ชี้! Bitcoin กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
พบผู้ถือ Memecoin เกินกว่าครึ่ง ไม่ได้รับผลกระทบ จากการปรับตัวของตลาด
 วาฬหน้าใหม่ ครอบครอง Bitcoin รวมกันไปแล้วถึง 1.8 ล้าน BTC