“Social Token” จะเป็นใหญ่ในอนาคตหรือไม่?
เหล่านักสร้างคอนเทนต์และกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์กำลังจะมีวิธีใหม่ในการสร้างรายได้จากความพยายามของพวกเขา ทั้งยังสามารถให้รางวัลแก่เหล่าผู้ติดตามอันเหนียวแน่นได้อีกด้วย คำถามที่สำคัญก็คือ การดำเนินการในรูปแบบนี้จะส่งผลต่ออุตสหากรรมโดยรวมมากน้อยเพียงใด
เหล่านักสร้างคอนเทนต์และกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์กำลังจะมีวิธีใหม่ในการสร้างรายได้จากความพยายามของพวกเขา ทั้งยังสามารถให้รางวัลแก่เหล่าผู้ติดตามอันเหนียวแน่นได้อีกด้วย คำถามที่สำคัญก็คือ การดำเนินการในรูปแบบนี้จะส่งผลต่ออุตสหากรรมโดยรวมมากน้อยเพียงใด
Social Token หรือก็คือโทเค็นที่ถูกพัฒนาขั้นมาให้เป็นสิ่งแทนความมีชื่อเสียงรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงบุคคล, ชื่อเสียงแบรนด์ หรือแม้แต่ ชื่อเสียงของ Community ทั้งหลาย ที่ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนมีกลุ่มคนได้เชื่ออย่างสุดใจเลยว่าโทเค็นประเภทนี้นั้นจะยิ่งใหญ่ และกลายมาเป็นเทรนด์ใหม่สำหรับอุสาหกรรม Cryptocurrency
แต่นี่ก็ทำให้เกิดคำถามในใจของใครหลาย ๆ คน ว่า Social Token คืออะไรกันแน่? แล้วต้อง “มีชื่อเสียง” มากน้อยเพียงใดถึงจะสามารถใช้งานโทเค็นเหล่านี้ได้ และนอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นที่ว่าทำไมศิลปิน นักดนตรี และเหล่าผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย (Online Influencer) ถึงมีความต้องการที่จะ “Tokenize” หรือเปลี่ยนชื่อเสียงของตัวเองให้มาอยู่ในรูปแบบโทเค็นเพื่อมอบเป็นของขวัญ หรือขายมันให้กับเหล่าผู้ติดตาม
ยิ่งดังยิ่งฉุดไม่อยู่!
Social Token นั้นมีความแตกต่างจากการทำ Liquidity Mining หรือการขุดรูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นกระแสในโลก Defi ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาอยู่เล็กน้อยในด้านของ Input และ Output โดย Social Token นั้นถูกสร้างขึ้นจากหลักการ “Ownership Economy” โดยมีหลักการว่าชุมชนจะต้องมีคุณค่ามากยิ่ง ๆ ขึ้นไปในแต่ละวัน
ซึ่งเหล่านักผลิตคอนเทนต์ หรือ Creators จะสามารถสร้างรายได้จากผลงานของตนเป็นทรัพย์สิน หรือเหรียญดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว (Non-fungible token - NFT) ซึ่งในที่นี้ก็คือ Social Token นั่นเอง และเปิดโอกาสให้เหล่าผู้สนับสนุนสามารถส่งมอบบางสิ่งกลับไปยังคนที่คนคลั่งไคล้เพื่อแสดงความภักดีของพวกเขาได้ นี่จึงเป็นหนทางที่ Online Influencer จะหารายได้เพิ่มเติมได้ หรือแม้แต่ให้ของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่แฟนคลับของตน
กล่าวคือกลุ่มผู้ติดตาม หรือที่เรามักจะเรียกกันว่าแฟนคลับจะยิ่งรู้สึกมีส่วน “เป็นเจ้าของ” ศิลปิน หรือบุคคลที่พวกเขารักอย่างแท้จริง ด้วยการคือครองเหรียญดังกล่าว และเมื่อบุคคล ศิลปิน แบรนด์ หรือสิ่งที่ผู้คนหลงไหลเหล่านั้นมีชื่อเสียงมากขึ้น ฐานแฟนคลับก็จะมากตาม ราคาโทเคนก็ย่อมจะสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สิทธิพิเศษหากถือครองโทเค็น
หนึ่งในตัวอย่างการใช้งาน Social Token ขอยกให้กับศิลปินอย่าง Laura Driskill ผู้เป็นเจ้าของ Instagram ยอดฮิตซึ่งมีเนื้อหาวิดีโอเกี่ยวกับการทำ Autonomous Sensory Meridian Response หรือ ASMR เพื่อช่วยในการผ่อนคลาย และการนอนหลับ
ซึ่งตอนนี้เธอได้สร้าง Social Token แบบ ERC-20 ของตัวเองที่เรียกว่า TINGLE เพื่อให้ผู้ติดตามของเธอซื้อเพื่อแลกกับการโต้ตอบหรือซื้อสินค้าเพิ่มเติม
Cooper Turley จากแพลตฟอร์มแชร์เพลงที่ชื่อว่า Audius ได้อธิบายไว้ว่า
“Social Token ่ไม่เพียงแต่จะแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเงินกับเหล่าความสร้างสรรค์ที่พวกเขาชื่นชอบเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้สามารถเข้าระบบการแบบแบ่งชั้นตามการมีส่วนร่วมได้อีกด้วย”
หรือแม้แต่ศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี่อย่าง RAC หรือที่รู้จักกันในชื่อ André Allen Anjos เองก็เพิ่งประกาศโทเค็นที่สร้างด้วย Zora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับศิลปิน Creators และแบรนด์เพื่อสร้างตลาดของตนเอง โดยโทเค็นของเขาจะแจกจ่ายให้กับสมาชิกของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และใช้เพื่อปลดล็อกการเข้าถึงสิทธิพิเศษและเนื้อหาพิเศษต่างๆ ซึ่ง RAC ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
“Crypto ช่วยให้ชุมชนสามารถรับคุณค่าจากผลงานที่พวกเขาสร้างขึ้นอย่างแท้จริงแทนที่จะมีรายได้จากเหล่าแพลตฟอร์มผู้ให้บริการีอยู่ก่อนหน้านี้”
เทรนด์ของ Social Token มาแน่!
ปัจจุบันมี Social Token อยู่ประมาณ 160 รายการ บนแพลตฟอร์มของบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอเมริกันที่ชื่อว่า Roll แถมมันยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามตั้งแต่ Rapper ไปจนถึง เหล่า NBA Superstars หรือแม้แต่กลุ่มผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะหันมาทดลองใช้วิธีการใหม่ล่าสุดตัวนี้ในการสร้างรายได้ และกระตุ้นความภักดีของชุมชน