ประโยชน์ของ NFT คือการ 'เก็บรักษาวัฒนธรรม' รูปแบบใหม่

Yat Siu ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานของบริษัทพัฒนาเกมสาย Nonfungible Token (NFT) ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้นำด้านความบันเทิงดิจิทัล และบล็อกเชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อย่าง Animoca Brands นั้นเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า NFTs ได้นำเสนอวิธีการรใหม่ ๆ ในการจัดเก็บวัฒนธรรมภายในโลกเสมือนจริง

ประโยชน์ของ NFT ที่มากกว่าแค่การสร้างรายได้

ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน Siu ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ว่า ณ ขณะที่เทคโนโลยีที่สนับสนุน NFT อาจเป็นสิ่งใหม่ แต่ความปรารถนาที่จะ "เก็บรักษาวัฒนธรรม" นั้นอยู่กับเรามานานตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยก็ว่าได้

“เราเรียก NFTs ว่าเป็นร้านค้าของวัฒนธรรมเพราะพวกมันได้ทำการรวบรวมช่วงเวลาในประวัติศาสตร์เอาไว้" เขากล่าวพร้อมเสริมว่า "ศิลปะคืออะไรล่ะ? ศิลปะคือสิ่งเก็บรักษาวัฒนธรรมน่ะสิ”

นอกจากนี้ท่านประธานแห่ง Animoca ยังกล่าวต่อว่า วัฒนธรรมนั้นเป็นมากกว่าแค่มูลค่าของตัวเงินที่เราประเมิณให้กับงานศิลปะ โดยเขายกตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวของเขา กับศิลปินเกาหลีวง BTS ซึ่งเป็นวงโปรดของเธอ โดยระบุว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะขอลายเซ็นจากกลุ่ม K-Pop ยอดนิยมกลุ่มนี้ เพื่อให้มันเกิดผลกำไรอย่างรวดเร็ว

“ภาพวาดส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ได้มีค่ามากมาย แต่มันก็เป็นเหมือนกับการเป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั่นแหละ ที่คนส่วนใหญ่นั้นซื้องานศิลปะหรือภาพถ่ายในปัจจุบัน ที่พวกเขานั้นไม่ได้ตั้งใจจะขายมันในทันที เพราะนั่นไม่ใช่วิธีที่เรามีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมยังไงล่ะ”

เหล่ามือใหม่ในวงการ NFT ควรมองหาอะไรกันแน่?

เมื่อถูกถามถึงคำแนะนำที่เขาจะให้แก่เหล่าน้องใหม่ในวงการ NFT ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทาง Siu ก็ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชักจูงให้เหล่ามือใหม่ทั้งหลายพยายามไม่แสวงหาโอกาสในการสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็ว และค่อย ๆ ศึกษาถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงจากโทเค็นเหล่านี้

“เริ่มต้นด้วยการซื้อ NFT ครั้งแรกของคุณ ที่ไม่ใช่การซื้อด้วยความตั้งใจที่จะทำเงินให้คุณ แต่เพียงแค่อาศัยความปรารถนาที่จะ [... ] เรียนรู้จากมัน”

Siu ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า NFTs นั้นแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเป็นเจ้าของข้อมูล และสิทธิ์ในข้อมูลโดยสิ้นเชิง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วข้อมูลถือเป็นหนึ่งใน "ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด" ของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่อย่างนั้นเหล่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Amazon หรือ Facebook จะใช้ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพวกเขาในการขุดข้อมูลทั้งหมดจากผู้ใช้ของตนไปทำไม นั้นจึงทำให้เขากล่าวสรุปว่า ท้ายที่สุดแล้ว “ข้อมูลนั้นได้กลายเป็นที่มาของพลังที่แท้จริงไปแล้ว” นั่นเอง