Blockchain

Blockchain จะทำให้การเลือกตั้งออนไลน์น่าเชื่อถือขึ้นได้หรือไม่?

Joe Biden Donald Trump.jpg

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงจากการกล่าวหาของผู้พ่ายแพ้อย่าง Trump ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด แล้วเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด? ที่เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตอย่าง Blockchain จะมีส่วนช่วยป้องกันเรื่องเหล่านี้

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นประเด็นร้อนที่ถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับการฉ้อโกงการเลือกตั้งที่มาจากประธานาธิบดี Trump ผู้พ่ายแพ้ และนั่นก็สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อกระบวนการทั้งหมด

โดยทางฝั่งพรรค Republicans ก็ลังเลที่จะยอมรับการชนะการเลือกตั้งของ Biden แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะถูกตรวจสอบไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนธันวาคม ซึ่งเหตุผลนั้นมีตั้งแต่ข้อกล่าวหาเรื่องเครื่องนับคะแนนที่ผิดพลาด ไปจนถึงการกล่าวหาเรื่องบัตรลงคะแนนปลอมที่ปรากฏเป็นจำนวนมากในสถานที่ลงคะแนนที่สำคัญ แต่ถึงอย่างไรก็ข้อกล่าวหาเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอาไปพูดในชั้นศาลได้

Daniel Hardman ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบระบบ และหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัท Evernymซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านโซลูชันการระบุตัวตน คิดว่า Blockchain อาจช่วยในเรื่องของการลงคะแนนเลือกตั้ง ในอนาคต

“โดยพื้นฐานแล้ว Blockchain สามารถเป็นช่องทางให้ผู้ลงคะแนนสามารถลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนได้อย่างน่าเชื่อถือ และปลอดภัย จากนั้นเมื่อมีการลงคะแนน Blockchain ก็ยังสามารถเป็นกลไกในการพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ในการลงคะแนน โดยพิจารณาจากการลงทะเบียนก่อนหน้านี้”

เขากล่าวเสริม

“Blockchain สามารถให้บริการในส่วนของFeatures บางอย่างที่จะช่วยในการตรวจสอบการลงคะแนนในการเลือกตั้ง”
“สิ่งล่าสุดที่เราได้เห็นคือความท้าทายจากการเลือกตั้งในเพนซิลเวเนีย และแอริโซนา เป็นต้น ซึ่ง Blockchain มี Feature บางอย่างที่จะทำให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น” Hardman กล่าว “โดยพื้นฐานแล้วคุณสามารถคลายความกังวลเกี่ยวกับการปลอมแปลง และสิ่งต่าง ๆ ได้”

ความโปร่งใสที่ยากจะเปลี่ยนแปลง

ด้วย Blockchain ที่เป็นสาธารณะ เช่น Bitcoin (BTC) ทุกการทำธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบสาธารณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้การตรวจสอบยากที่จะผิดพลาด และโปร่งใสมากกว่ากระบวนการแบบระบบประมวลผลแบบรวมศูนย์(centralized) หรือแบบกระดาษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการลงคะแนนอาจได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกันสำหรับการเลือกตั้ง

ใช่ว่า Blockchain จะไร้ข้อจำกัด

แม้ว่าแบบจำลองจะดูโปร่งใส และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เจ้าหน้าที่จะรู้ได้อย่างไรว่าคะแนนเสียงมาจากประชาชนที่ลงคะแนนเพียงครั้งเดียว ดังนั้น “สิ่งที่คุณต้องการคือสิ่งที่เรียกว่า end-to-end verification” Hardman อธิบาย “ในส่วนด้านหน้าจะเป็นส่วนในการลงทะเบียน”

หัวข้อที่ซับซ้อนมากมาย ทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่หลากหลายโดยพิจารณาจากปัจจัยคุกคามที่แตกต่างกัน ซึ่งระบบการลงคะแนนที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain อาจจะต้องมีองค์ประกอบเฉพาะสำหรับการป้องกันการฉ้อโกงจากการโหวต และ malware ที่เป็นภัย เช่น การระบุผู้มีสิทธิเลือกตั้งตาม Biometric “ถ้าคุณรู้ว่า ผู้ที่มาเลือกตั้งที่ชื่อ John Smith จาก 123 Main Street ใน เพนซิลเวเนีย มีลายนิ้วมือรูปแบบเฉพาะ ก็ยากสำหรับคนอื่นที่จะโหวตในนามของเขา” Hardman อธิบาย

"คุณต้องรู้ว่าคน ๆ หนึ่งสามารถลงทะเบียนได้เพียงครั้งเดียว และนั่นหมายความว่าเมื่อมีคนมาลงทะเบียน คุณจะต้องทำสิ่งที่คุณเคยทำในกลไกการเลือกตั้งแบบปกติก็คือ – เมื่อคุณตรวจสอบใบขับขี่ของพวกเขา คุณต้องเช็คว่า ภาพของเขา ลายเซ็นของเขา ตรงกันไหม คุณต้องทำอะไรแบบนั้น "

จากนั้นเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้แต่ละคนสามารถลงคะแนนเสียงได้แค่ครั้งเดียว “ในระบบหลังบ้าน คุณจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าจะลงทะเบียนแบบใด คุณก็สามารถลงคะแนนได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

อันตรายที่มาพร้อมการเปิดเผยตัวตน

จะว่าไปแล้ว การที่จะหยุดไม่ให้รัฐบาล และบริษัทต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเพื่อติดตาม และใช้งานอื่น ๆ จะทำได้อย่างไร?

Hardman ได้อธิบายถึง ประเทศจีน และมาตรการป้องกัน COVID-19 ว่าเป็นตัวอย่างของการละเมิดความเป็นส่วนตัว โดยประเทศจีนได้ติดตามอุณหภูมิของผู้คน แล้วนำมาจับคู่กับอัตลักษณ์ และสถานที่อยู่ของพวกเขา โดยเขาได้อธิบายว่า

"ในกรณีของการเลือกตั้ง สิ่งที่คุณต้องการ คือ แยกทั้งสองคำถามนี้ออกจากกัน" Hardman กล่าว "คำถามแรก – คือ ฝ่ายที่พยายามลงคะแนนเสียง ที่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นเนื่องจากพวกเขาได้ทำการลงทะเบียนในระบบมาก่อนแล้ว - นี่เป็นคำถามแรก" เขากล่าว "ซึ่งคำถาม ‘คนนี้คือใคร’ เป็นคำถามที่แตกต่างจากคำถามแรก" เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า

"มีบางส่วนของการเลือกตั้งที่คุณอาจต้องการถามคำถามทั้งสองข้อ แต่มีส่วนอื่น ๆ ที่คุณไม่จำเป็นต้องถามทั้งสองคำถามพร้อมกัน และถ้าคุณแยกประเด็นเหล่านั้นออกจากกันได้ คุณก็สามารถป้องกันรัฐบาล จากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถรู้ได้ว่าคุณโหวตอะไร และคุณโหวตเมื่อไหร่ อะไรทำนองนั้น"

กุญแจสำคัญที่ใช้แก้ปัญหา? เทคโนโลยี Blockchain ที่เรียกว่าzero-knowledge proofs ซึ่งอ้างอิงจาก Hardman โดยพื้นฐานของ zero-knowledge proofs นั้นจะยืนยันตัวตนของบุคคลโดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา "ในเวลาลงทะเบียน คุณขอให้พวกเขาระบุตัวตนของพวกเขาอย่างชัดเจน คุณรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน และอื่น ๆ แต่ในขณะที่พวกเขาลงคะแนน สิ่งที่คุณทำให้พวกเขา คือ การพิสูจน์ว่าพวกเขามีสิทธิ์ในการลงคะแนน โดยไม่เปิดเผยว่าพวกเขาเป็นใคร” Hardman อธิบาย "คุณขอให้พวกเขาพิสูจน์ว่าการโหวตของพวกเขาไม่ได้มีการติดตามในระบบ [... ] ซึ่งรับประกันได้ว่าคุณไม่สามารถลงคะแนนได้สองครั้ง"

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

คาดการณ์ราคา Bitcoin หลังช่วง Halving! พร้อมเผยเป้าหมาย ที่เหรียญอาจทำราคาพุ่งไปถึง
98% ของธนาคารกลางทั่วโลก กำลังเตรียมใช้ CBDC
วาฬในเครือข่าย Solana ใช้เงินกว่า 4.9 ล้านดอลลาร์ ในการเข้าซื้อเหรียญมีม PUPS
Coinbase ประกาศลิสต์ 1 เหรียญ Altcoin จากโครงการ AI เข้ากระดานเทรด