ธปท. เล็งตีกรอบคุมคริปโตอย่างจริงจังในปี 2022
ธปท. เล็งตีกรอบคุมคริปโต เช่น Bitcoin (BTC) อย่างเข้มงวดผ่านนโยบายใหม่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และ เพิ่มวิธีคุ้มครองนักลงทุนในประเทศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ธปท. เล็งตีกรอบคุมคริปโต เช่น Bitcoin (BTC) อย่างเข้มงวดผ่านนโยบายใหม่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และ เพิ่มวิธีคุ้มครองนักลงทุนในประเทศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เล็งตีกรอบคุมคริปโตด้วยการเตรียมออกเอกสารให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ “Financial Landscape” ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นนโยบายควบคุมดูแลอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล, green finance และ อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในเดือนมกราคม ปี 2022 โดยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท.ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่าน Bangkok Post เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ระบุว่า
“ทางธปท.ต้องการออกนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมเทคโนโลยี, การเข้าถึงบริการด้านการเงิน และ การจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงได้อีกด้วย”
นอกจากนี้ทางธนาคารกลางยังได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ กระทรวงการคลัง ในการกำหนดกรอบนโยบายควบคุมอุตสาหกรรมคริปโตให้เป็นไปตามที่ธนาคารคาดการณ์เอาไว้ เช่น หน่วยงานต่าง ๆ จะไม่สามารถนำสกุลเงินดิจิทัลใช้ในการชำระเงินได้ เป็นต้น
ธปท. เล็งตีกรอบคุมคริปโตเนื่องจากมีความผันผวน และ ความเสี่ยงสูง
ผู้ว่าการธปท.ย้ำว่าแม้หน่วยงานรัฐฯมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนก็ตาม แต่ความผันผวนของคริปโตนั้นยังคงมีความเสี่ยงต่อระบบการเงินค่อนข้างมาก จะเห็นได้จากเมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ทางธนาคารกลางได้ออกมาเตือนธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศให้ระมัดระวังการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลโดยตรง โดยอ้างถึงความผันผวนที่สูง และ ความเสี่ยงที่อาจตามมาในภายหลัง จึงทำให้ปัจจุบันทางธนาคาร และ ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกันเตรียมรับมือ และ หาแนวทางป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็นที่เรียบร้อย
ธปท.เล็งทดลอง CBDC ในปีหน้า หลังนักลงทุนให้ความสนใจคริปโตมากขึ้น
ความเร่งรีบของธนาคารกลางไทยต่อการออกนโยบายเพื่อใช้ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่กระแสความต้องการของประชาชนในประเทศที่มีต่อคริปโตเคอเรนซีเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังบรรดานักลงทุนต่างพากันตามหาแนวทางการลงทุนที่จะช่วยให้พวกเขาได้กำไรเพิ่มขึ้นจากเดิม ท่ามกลางสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยต่ำ และ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากรายได้ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่ทั้ง 7 แห่งในไทยที่เพิ่มจากเดิม 1.8 หมื่นล้านบาทเมื่อต้นปี ขึ้นมาอยู่ที่ 221 แสนล้านบาท หรือ เทียบยเท่า 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกันสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือ CBDC ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถเปิดให้ทดลองใช้ได้ภายในปีหน้านี้ โดยทางธนาคารกลางเผยว่าสกุลเงินดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศได้มากขึ้น โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน
นอกจากนี้นายเศรษฐพุฒิ ยังได้กล่าวเสริมว่าการทดลองใช้บาทดิจิทัลยังสามารถช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน และ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเงินได้เช่นกัน