CEO BlackRock เรียก Bitcoin ว่า “สินทรัพย์แห่งความกลัว” สะท้อนท่าทีใหม่ต่อคริปโทที่เปลี่ยนไป
Larry Fink CEO ของ BlackRock กล่าวบนเวทีเดียวกับ Brian Armstrong ผู้ก่อตั้ง Coinbase เผยมุมมองที่เปลี่ยนไปของบริษัทต่อตลาดคริปโตตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

Larry Fink CEO ของ BlackRock กล่าวบนเวทีเดียวกับ Brian Armstrong ผู้ก่อตั้ง Coinbase เผยมุมมองที่เปลี่ยนไปของบริษัทต่อตลาดคริปโตตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
Larry Fink ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง BlackRock อธิบายถึง “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ของตนเอง จากเดิมที่มองคริปโตเคอร์เรนซีว่าเกี่ยวพันกับอาชญากรรมทางการเงิน สู่การเป็นผู้ออกกองทุน Spot Bitcoin ETF รายใหญ่ที่สุดในตลาด
ในการขึ้นเวทีงาน DealBook Summit ของ The New York Times เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Fink ตอบคำถามของนักข่าว Andrew Ross Sorkin เกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อคริปโตและ Bitcoin
CEO ของ BlackRock ยอมรับว่าการเปลี่ยนจากการมองคริปโตว่าเป็นช่องทางฟอกเงิน มาเป็นการถือครองสินทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ใน Bitcoin ถือเป็น “ตัวอย่าที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่” ของเขา “มุมองของผมพัฒนาอยู่เสมอ” Larry Fink กล่าว
แม้จะเปิดรับคริปโตมากขึ้น แต่ Fink ก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีต่อ Bitcoin เสมอไป ตลอดการสนทนาบนเวทีกับ Brian Armstrong CEO ของ Coinbase เขาเรียก Bitcoin ว่าเป็น “สินทรัพย์แห่งความกลัว” (Asset of Fear) โดยอธิบายว่า ราคาของ Bitcoin มักร่วงลงเมื่อมีข่าวดีเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน หรือสัญญาณบวกเกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครน
“ถ้าคุณซื้อ Bitcoin เพื่อเก็งกำไร มันเป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนมาก คุณต้องมีจังหวะในตลาดที่แม่นยำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปไม่สามารถทำได้” Fink กล่าวเสริม
จาก “เครื่องมือฟอกเงิน” สู่ผู้นำตลาด ETF
คำพูดล่าสุดของ Fink แตกต่างจากมุมมองเมื่อปี 2017 อย่างสิ้นเชิง ซึ่งในขณะนั้นเขาเคยกล่าวว่า “Bitcoin แสดงให้เห็นว่าความต้องการฟอกเงินในโลกนี้มีมากเพียงใด”
แต่ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ท่าทีของ BlackRock ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยในเดือนมกราคม 2024 บริษัทได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ให้เปิดตัวกองทุน iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกองทุน Spot Bitcoin ETF รายแรกของสหรัฐฯ และมีมูลค่าสูงสุดที่ประมาณ 70,000 ล้านดอลลาร์
แต่อย่างไรก็ตาม กองทุน IBIT ของ BlackRock ต้องเผชิญกับกระแสเงินไหลออกกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ ตลอดเดือนพฤศจิกายน รวมถึงการไหลออกกว่า 463 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 14 พฤศจิกายน และอีก 523 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 18 พฤศจิกายน
ถึงแม้จะมีแรงไถ่ถอนที่สูงขึ้น แต่ Cristiano Castro ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ BlackRock ยืนยันว่าบริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทุน ETF โดยมองว่าเป็น “เครื่องมือที่มีสภาพคล่องสูงและทรงพลัง”
ปัจจุบัน กองทุน Spot Bitcoin ETF รายใหญ่ในตลาดยังรวมถึงของบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Grayscale, Bitwise, Fidelity, ARK 21Shares, Invesco Galaxy และ VanEck
อ้างอิง : Cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล
Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว








