ข่าวธุรกิจ

Bitkub เล็งขยายธุรกิจเป็น Coinbase แห่งเอเชีย

83f6e4 D78a8cf4dedb42d7b90f07a610884c52 Mv2.jpg

Bitkub กำลังวางแผนขยายกิจการเข้าไปยังมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และ ลาว เพื่อเป็น Coinbase แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามความตั้งใจของผู้บริหารชื่อดัง

บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับจาก CoinMarketCap ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในอันดับที่ 59 จากมูลค่าการซื้อขายภายใน 24 ชั่วโมงจำนวนกว่า 549 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสูงกว่าแพลตฟอร์มอีก 300 แห่งทั่วโลก เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ป่านมา โดยบริษัทเผยว่ากำลังมองหาโอกาสในการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือ ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ที่สนใจเข้ามามีบทบาทในการขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศมาเลเซีย, ประเทศฟิลิปปินส์ และ ประเทศลาว ภายในปีหน้า โดยนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ระบุว่าแม้ว่า Bitkub จะเล็งขยายธุรกิจไปยังที่แห่งใหม่ แต่ว่าลักษณะการให้บริการในต่างประเทศนั้นจะยังคงเดิมเหมือนกับบริษัทแม่ในไทย

Bitkub เล็งขยายธุรกิจไปยังประเทศที่ไม่มีขู่แข่งที่เหนือกว่า

Bitkub เล็งขยายธุรกิจเป็น Coinbase แห่งเอเชีย

การขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของ Bitkub นั้นได้รับแรงกระตุ้นมาจากความสำเร็จครั้งล่าสุดในไทยที่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทมากถึง 1,000% ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาในปี 2018 ซึ่งล่าสุดธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ส่งผลให้นายจิรายุสได้เดิมพันว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้บิทคับสามารถเพิ่มจำนวนดิจิทัล Wallet ได้มากถึง 1 พันล้านภายใน 5 ปี จากจำนวนปัจจุบันที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยเขาวางแผนที่จะใช้กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศที่ไม่มีผู้ครองตลาดคริปโตอย่างชัดเจน และ ยังขาดการให้บริการด้านการเงินผ่านการใช้งานบนโซเชียลมีเดียระดับสูง หรือ มีศักยภาพมากพอที่จะทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดิจิทัล นอกจากนี้ผู้บริหารบิทคับยังได้กล่าวเสริมว่า

“การขยายบริษัทสามารถทำได้ผ่านการลงทุนครั้งใหม่ หรือ การเข้าซื้อกิจการในประเทศนั้น ๆ ซึ่งเป้าหมายของเราก็คือการได้เป็น Coinbase ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

Coinbase Global Inc. เป็นบริษัทผู้ให้บริการการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการผลักดันมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาดของโทเคนดิจิทัลให้เพิ่มขึ้นกว่า 2.75 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บิทคับตัดสินใจที่จะไม่ขยายกิจการเข้าไปในประเทศที่มีขู่แข่งที่ดูจะมีอำนาจมากกว่า โดยนายจิรายุสอ้างว่ามีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากบริษัท Indodax ในประเทศอินโดนิเซีย ที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในการผูกขาดตลาดที่เกิดขึ้นใหม่

ภาคเอกชนเริ่มผลักดันให้เกิดการยอมรับคริปโต

กฎหมายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังไม่เอื้ออำนวยให้กับสกุลเงินดิจิทัล และ Non-Fungible Token (NFT) มากนัก จะเห็นได้จากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ทางรัฐบาลได้ออกมาปราบปรามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น สิงคโปร์ที่ล่าสุดทางหน่วยงานกำลังพยายามรวบรวมรายชื่อธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี หรือ ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนก็ได้มีการออกมาปราบปรามไม่ให้เกิดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ประเทศอินเดียกำลังพิจารณาข้อเสนอในการทำให้คริปโตเป็นสินทรัพย์ทางการเงินไปพร้อม ๆ กับการหาแนวทางปกป้องเหล่านักลงทุนรายย่อย เป็นต้น

ผู้บริหารบิทคับเชื่อมั่นว่าในท้ายที่สุดแล้วหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องหันมาสนับสนุนการใช้สกุลเงินดิจิทัลอย่างแน่นอน เนื่องจากหน่วยงานดังกล่าวไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสคริปโตได้อีกต่อไป

“กฎหมายมักจะต้องมีการปรับแก้ไปตามนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาใหม่เสมอ ผู้คนจำนวนมากอาจล้มเลิกความตั้งใจไปเนื่องจากกฎหมายไม่ได้เอื้อให้กับพวกเขา แต่สำหรับบิทคับของเรานั้นบ้ามากพอที่จะเดินหน้าต่อไป”

Bitkub เล็งขยายธุรกิจเป็น Coinbase แห่งเอเชีย

ในขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ได้เริ่มหันมาให้การสนับสนุนให้เกิดการยอมรับคริปโตเคอเรนซีในประเทศมากขึ้นเช่นเดียวกัน ล่าสุดบริษัท แสนสิริ จำกัด ยอมรับให้สามารถใช้สกุลเงินดิจิทัลในการชำระเงินได้ รวมไปถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้วางแผนที่จะออกโทเคนดิจิทัลเพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการเดินทาง นอกจากนี้นายวินท์ สุธีรชัย นักธุรกิจ และ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยยูไนเต็ดได้ออกมาหาเสียงด้วยการให้คำสัญญาว่าจะผลักดันให้คริปโตเคอเรนซี และ NFT กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมาย

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต

บทความที่เกี่ยวข้อง

รายงาน ก.ล.ต. สรุปภาพรวมบัญชีซื้อขายที่ Active ในช่วงต้นเดือน 'เมษายน' ปี 2567
ตลาด Altcoin มีโอกาสเสี่ยงถูกปรับฐาน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ซีอีโอ Crypto.com ชี้! Bitcoin กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
 วาฬหน้าใหม่ ครอบครอง Bitcoin รวมกันไปแล้วถึง 1.8 ล้าน BTC