Blockchain

LG เตรียมเปิดฉากบุกตลาดคริปโต

Lg.png

ข่าวลือการเปิดตัวแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแห่งใหม่ในแดนกิมจิจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หลัง LG เตรียมเปิดฉากบุกตลาดคริปโตอย่างเต็มรูปแบบ

บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีจากแดนกิมจิอย่าง LG Electronics หรือ ที่เราคุ้นชินกันในชื่อ LG บุกตลาดคริปโตอย่างจริงจัง หลังได้มีการเพิ่มคริปโต และ Blockchain เข้าไปเป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาองค์กรฉบับใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยทางองค์กรเตรียมวางแผนสร้างโครงการพัฒนา และขายซอฟต์แวร์ Blockchain รวมไปถึงโครงการขาย และให้บริการด้านโบรกเกอร์คริปโตแก่ลูกค้า

สัญญาณบอกใบ้ หลังจาก LG บุกตลาดคริปโต

สำนักข่าวท้องถิ่นจากประเทศเกาหลีใต้ได้ตั้งข้อสังเกตุว่าการก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดดิจิทัลนั้น เป็นไปได้ว่าทาง LG อาจกำลังเตรียมการเพื่อเปิดตัวแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของตนเอง แต่ทว่า โฆษกประจำองค์กรก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องดังดังกล่าว พร้อมระบุว่าปัจจุบันทางองค์กรยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ทางบริษัทเพียงแค่ออกมาพูดถึงการขยายขอบเขตธุรกิจออกไปเพียงแค่นั้น

Adobestock Ralf 1 1 1024x678.jpg

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนของ LG นั้นได้เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจาก Heo Baek-young ซีอีโอ Bithumb ยืนยันว่าแพลตฟอร์มของเขาจะได้ร่วมทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อพัฒนาตลาด Non-Fungible Token (NFT) ให้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากต่างก็พากันคาดเดาว่าบริษัทรายใหญ่คงจะหนีไม่พ้น LG เป็นแน่

LG เริ่มพัฒนาโปรเจกต์ NFT มาระยะหนึ่งแล้ว

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้ริเริ่มโปรเจกต์การนำ NFT เข้ามาใช้ และผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ขององค์กรมาไม่น้อยเลยทีเดียว หลังช่วงต้นเดือนมีนาคม ทางบริษัทได้ประกาศลงนามร่วมกับบริษัทในเครือของ Kakao อย่าง Ground X ผู้ให้บริการเครือข่าย Blockchain เพื่อสร้าง Smart TV ที่สามารถรองรับ NFT ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ LG ยังได้แถลงการณ์ร่วมมือกับ Seoul Auction Blue บริษัทประมูลผลงานศิลปะออนไลน์ เพื่อเปิดตัวโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับผลงานศิลปะ NFT เพิ่มเติมด้วยเช่นเดียวกัน

กระแสการยอมรับคริปโตในกลุ่มธุรกิจจากเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้น

การแถลงการณ์ของ LG นั้นเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการยอมรับคริปโต และ Blockchain ในเกาหลีใต้ที่เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นวงกว้าง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ และชาวเกาหลีจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Samsung อีกหนึ่งองค์กรด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ได้ออกมาประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม NFT ของตนเอง พร้อมกับ Smart TV ที่สามารถรองรับแพลตฟอร์มดังกล่าวได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวร้านค้าเสมือนแห่งแรกของตนเองขึ้นบนดินแดน Metaverse ของ Decentraland อีกด้วย

นอกจากองค์กรรายใหญ่แล้ว คริปโตเคอเรนซียังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นชาวเกาหลีใต้จำนวนมากอีกด้วย อ้างอิงจากการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศ บ่งชี้ว่าจำนวนคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อหันมาเทรดคริปโตเลี้ยงชีพตนเองกันมากขึ้น

อิทธิพลคริปโตในการเมืองเกาหลีใต้

นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่น่าจับตามองมามากที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ณ ขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นการหาเสียงด้วยแคมเปญคริปโตจากนักการเมืองหลายราย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กฎระเบียบกำกับดูแลคริปโตนั้นมีความเข้มงวดขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก จะเห็นได้ว่าบริษัทคริปโตหลายแห่งต้องปิดตัวลงไปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการขาดความชัดเจนในการจัดเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลจนทำให้เกิดความสับสนกับทั้งประชาชน และฝ่ายนิติบัญญัติ

Np File 146191 1024x682.jpeg

ด้วยเหตุนี้ ผู้ลงชิงตำแหน่งเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จึงได้พยายามจูงใจผู้คนผ่านการสร้างแคมเปญคริปโตที่จะเข้ามาช่วยให้คอมมิวนิตีเติบโตขึ้น และสร้างความชัดเจนให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าวขึ้นมาได้นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่เอาชนะใจประชาชนได้ก็คือ Yoon Suk-yeol ที่แสดงตัวว่าเป็นมิตรต่อคริปโต พร้อมทั้งยังเสนอนโยบายที่มุ่งเน้นจะยกเลิกกฎระเบียบอันแสนซับซ้อนของอุตสาหกรรมคริปโตในประเทศลง เช่นเดียวกันกับ การก่อตั้งโปรเจกต์ใหม่ที่จะทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นบ้านสำหรับเทคโนโลยี Blockchain หรือ เรียกง่าย ๆ ก็คือการเพิ่มจำนวนองค์กรในระดับ Unicorn ให้กับประเทศมากขึ้นนั่นเอง

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต

บทความที่เกี่ยวข้อง

รายงาน ก.ล.ต. สรุปภาพรวมบัญชีซื้อขายที่ Active ในช่วงต้นเดือน 'เมษายน' ปี 2567
พบผู้ถือ Memecoin เกินกว่าครึ่ง ไม่ได้รับผลกระทบ จากการปรับตัวของตลาด
ซีอีโอ Crypto.com ชี้! Bitcoin กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
 วาฬหน้าใหม่ ครอบครอง Bitcoin รวมกันไปแล้วถึง 1.8 ล้าน BTC