‘Metaverse’ เป็นคำศัพท์ใหม่ที่โด่งดังขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนจากกระแสการรีแบรนด์ของ Facebook ไปสู่ Meta เพื่อการเป็นมากกว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มุ่งหน้าเข้าสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส (Metaverse) ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ และมีโปรเจกต์ใหม่ ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่จริง ๆ แล้ว คำว่า ‘Metaverse’ ไม่ใช่คำศัพท์ใหม่ เพียงแค่มาดังพร้อมกับกระแสของ Mark Zuckerberg เท่านั้น ในบทความนี้มาทำความรู้จักกับ Metaverse คืออะไร? มีประโยชน์ไหม? มีความสัมพันธ์กับบล็อกเชน และคริปโตอย่างไร? พร้อมวิธีการลงทุนสร้างรายได้จากเมตาเวิร์ส เจาะลึกข้อมูลได้ที่นี่
เมตาเวิร์ส หรือ Metaverse มาจากรากศัพท์ของคำว่า “Meta” และ “Verse” รวมเข้าไว้ด้วยกัน มีความหมายว่า “จักรวาลเหนือจินตนาการ” ซึ่งทางราชบัณฑิตยสภาได้บัญญัติให้คำนี้มีความหมายว่า “จักรวาลนฤมิต” โดยปรากฏขึ้นครั้งแรกในหนังสือที่ชื่อว่า Snow Crash นวนิยายแนว SciFi ของนีล สตีเฟนสัน นับว่า เป็นผู้คิดค้นคำว่า “Metaverse”เลยก็ว่าได้ ประเด็นที่น่าสนใจในหนังสือ คือ การที่ผู้คนในเรื่องใช้ตัวละครรูปแบบดิจิทัล หรือ Digital Avatar เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือน และมีปฎิสัมพันธ์ราวกับชีวิตจริง เพื่อหลบหนีโลกแห่งความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายนั่นเอง
ดังนั้นความหมายของ Metaverse คือ โลกเสมือนรูปแบบดิจิทัล หรือออนไลน์ที่มีลักษณะคล้ายกับโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นในรูปแบบ 3 มิติ โดยที่สามารถใช้ชีวิตประจำวัน พูดคุย ทำงาน เล่นเกมด้วยอวตารของตัวเอง และสามารถสร้างวัตถุ สัตว์ สิ่งของแบบ 3 มิติได้ตามที่ต้องการ
ถึงแม้ว่าการมีอยู่ของ Metaverse จะเป็นโลกเสมือนที่ผู้คนใช้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่สมจริง โดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะทำไม่ได้ แต่เมตาเวิร์สก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป…
ปัจจุบันเราสามารถใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และ Crypto มาใช้ในโลกเมตาเวิร์สได้แล้ว เช่น ใช้พิสูจน์ความเป็นเจ้าของ (Digital proof of ownership) อย่างการสร้างวอลเล็ทบนบล็อกเชนสาธารณะ หรือใช้เป็นเครื่องมือในการโอนมูลค่า (transfer of value) อย่างการสร้าง NFT ขึ้นมาแทนมูลค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การนำบล็อกเชนมาเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลในองค์กร หรือเครื่องมือในการออกเสียง หรือใช้ในการเชื่อมโยงแพลตฟอร์ม และโปรเจ็คบล็อกเชนต่าง ๆ เช่น Polkadot (DOT) และ Avalanche (AVAX) เป็นต้น
SecondLife คือ แพลตฟอร์มเกมโลกเสมือนจริงที่ช่วยให้ผู้ใช้งานแสดงตัวตนด้วยอวตาร (Avatar) ในโลกเสมือนด้วยเทคโนโลยี 3D เพื่อให้ผู้คนมามีส่วนร่วม ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน และมี Market place เพื่อซื้อขายไอเทมที่ใช้ในเกม นิยมเล่นเพื่อความบันเทิง การศึกษา ช็อปปิง ฯลฯ โดยใช้ Binance Smart Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนของ Binance ในการสร้างแพลตฟอร์มเกมนี้ขึ้นมา และพัฒนาโดยบริษัท Linden Lab ซึ่งได้เปิดตัวในปี 2003 ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สที่เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดอีกด้วย
Decentraland คือ แพลตฟอร์มเกมโลกเสมือนจริงแบบ DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization โดยจะใช้หลักการ Vote เพื่อเสนอ อัปเดตนโยบาย ประมูลที่ดิน whitelisting สัญญา NFT ฯลฯ ซึ่งเป็นเจ้าของ Smart contract ที่รวมกันเป็น Decentraland เช่น โฉนดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เสื้อผ้า Content Servers และ Marketplace นอกจากนี้ยังสามารถใช้ VR Headset ในการเล่นฟิตเนส ออกกำลังกาย ทั้งในโลกเสมือน และชีวิตจริงได้พร้อม ๆ กัน
https://www.youtube.com/watch?v=hlniOe5uQ3Q
จากอดีตที่ Metaverse ถูกคิดค้นขึ้น และนำมาเขียนเป็นนวนิยายเป็นครั้งแรก จนกระทั่งผ่านไป 30 ปีให้หลัง Metaverse ได้ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่าสนใจ นำทีมโดย Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ที่รีแบรนด์เป็น Meta และตามมาด้วยบริษัทเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งสินค้าแบรนด์เนมค่ายต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีได้อย่างกว้างขวางให้สามารถติดต่อสื่อสาร ทำกิจกรรม และใช้ชีวิตราวกับความฝันอยู่ในโลกเสมือนได้อย่างไม่จำกัด ปัจจุบัน Metaverse ยังคงเป็นแนวคิดที่ยังคงรอการสานต่อ เพื่อให้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกจริง
ในยุคต่อไป เราอาจได้เห็นโลกใบใหม่ที่นำเอาความเป็นจริงมาผสมผสานกับโลกเสมือนเข้าไว้ด้วยกัน เช่น Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Extended Reality (XR) โดยโลกที่เราอยู่จะมีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แต่จะเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมใหม่ โอกาสทางธุรกิจใหม่ เป็นพื้นที่ในการลงทุนที่น่าตื่นเต้น รวมถึงการใช้คริปโตแทนสกุลเงินเฟียต
ทั้งนี้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น อาจก่อปัญหาได้ในระยะยาว เช่น ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย การคุกคามทางเพศ ฯลฯ ดังนั้น ผู้ใช้งานจึงต้องเรียนรู้ และปรับตัวโลกเสมือนให้เป็น อย่างในยุคที่เราเริ่มรู้จัก World Wide Web (www.) เพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตนั่นเอง