ธนาคารกลางอิสราเอลทดสอบ CBDCs ด้วยบล็อกเชนของ Ethereum

ทดสอบโปรเจค CBDCs ใช้ Ethereum

ธนาคารกลางอิสราเอลเตรียมทดสอบเหรียญ CBDCs โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของ Ethereum (ETH)  พร้อม ๆ กับที่รัฐบาลในประเทศผู้นำ เช่น จีน, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศไทยก็กำลังพัฒนาและทดสอบโปรเจค CBDCs อยู่เพื่อที่จะสร้างสกุลเงินของประเทศให้อยู่ในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล

อ้างอิงข้อมูลจาก Globes ผู้จัดการโปรเจค CBDC ของประเทศนาย Yoav Soffer ได้เผยว่า: 

“เราทดสอบโปรเจคด้วยเทคโนโลยี Ethereum ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมันเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นที่เราต้องใช้แต่เป็นเพราะมันเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เราได้ทดสอบเพื่อทำความเข้าใจข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของเทคโนโลยี”

ธนาคารกลางอิสราเอลสร้างทีมงานเพื่อทดสอบ Ethereum Blockchain และทดสอบสร้างโทเค็น CBDCs และได้ทดสอบสร้างวอลเล็ทดิจิทัลที่ทีมงานสามารถทดสอบโอนและรับเหรียญเชเขลดิจิทัลที่เป็นสกุลเงินของประเทศกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศ

อย่างไรก็ตามทางธนาคารกลางฯ ยังไม่ได้เปิดเผยวันอย่างเป็นทางการที่จะนำโทเค็นเชเขลดิจิทัลมาใช้งานในประเทศ ซึ่งประเด็นนี้นาย Soffer  ได้กล่าวว่า:

“โดยทั่วไปแล้วโปรเจคต่าง ๆ ของธนาคารกลางมักจะมีการกำหนดวันที่เริ่มและวันที่โปรเจคจะเสร็จสิ้น เรารู้ว่าโปรเจคเหล่านั้นจะเสร็จเมื่อไรและต้องทำอะไรบ้าง โปรเจคนี้เราไม่รู้ว่ามันจะเสร็จเมื่อไร”

ข้อท้าทาย

ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนก็เลือกที่จะชำระเงินในการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางระบบดิจิทัลมากขึ้น การสร้างโทเค็น CBDCs ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในเวลานี้

อย่างไรก็ตามการสร้าง CBDCs ขึ้นมาก็มีข้อท้าทายอยู่ ซึ่งธนาคารกลางอิสราเอลเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการของพลเมืองได้ และโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีอาจไม่ได้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในนระยะยาว

ตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินชั้นนำของอิสราเอลต้องมีวิธีแก้ปัญหาในกรณีฉุกเฉินหากเครือข่ายล่มเพื่อให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ได้

ธนาคารกลางยังต้องสร้าง CBDC ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและใช้งานได้ง่ายเมื่อเทียบกับระบบการชำระเงินประเภทอื่น มิฉะนั้นชาวอิสราเอลก็จะเลือกไปใช้ระบบอื่น ๆ แทน CBDC ในการชำระเงิน

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดก็คือการผลักดันให้ผู้คนเปลี่ยนจากการใช้เงินสดไปใช้การชำระเงินแบบดิจิทัล และ CBDC ของธนาคารกลางอาจนำมาซึ่งการคุกคามความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เพราะธนาคารกลางจะสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมของผู้ใช้งานได้ง่ายขึ้น