ราคา Ethereum ร่วงทะลุแนวรับที่ $1.8K แล้ว

ในช่วงระยะที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเคอร์เรนซียังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สู้ดีมากนัก จึงส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดหลายรายต่างพากันหันกลับมาพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพการทำงานของ Ether (ETH) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี้ ยังไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ถือครองเหรียญได้มากเท่าไรนัก รวมไปถึงการปรับฐานกว่า 50% เมื่อวันที่ 3 เมษายน ก็ได้ส่งผลให้ราคาของ Altcoin หล่นลงไปทดสอบระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2021 ที่ผ่านมา ด้วยเช่นเดียวกัน จนสร้างความกังวลใจให้กับเหล่านักเทรดเหรียญจำนวนมาก เรามาดูกันดีกว่าว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ราคาเหรียญหล่นลงมาต่ำกว่าแนวรับ

นักลงทุนเปลี่ยนใจไปลงทุนตลาดอื่น

หลังจากที่นักลงทุนพากันหันกลับมาลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ได้ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ ดัชนี DXY ได้ทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ไม่เพียงเท่านั้น ผลตอบแทนพันธบัตรในส่วนของพันธบัตรในสหรัฐอเมริกา (Treasury Yield) ตลอดระยะเวลา 5 ปีก็เติบโตขึ้นมากว่า 3.10% เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม จนสามารถทำสถิติแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมาอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลข้างต้นจึงสามารถบ่งชี้ได้ว่า บรรดานักลงทุนต่างก็ต้องการการลงทุนที่สามารถมอบผลตอบแทนในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิมให้แก่พวกเขา เพื่อจะได้นำเงินในส่วนนี้ไปชดเชยให้กับส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเงินเฟ้อได้นั่นเอง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของผู้เล่นในตลาดที่ต้องการจะหลีกหนีความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้น จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลทำให้ราคา Ethereum ร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

Ethereum ประสบปัญหา Reorg

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ทางเครือข่ายได้ออกมาประกาศเตรียมอัปเกรด The Merge ในเดือนสิงหาคม ทางทีมนักพัฒนากลับต้องมาเผชิญกับปัญหาด้านการจัดระเบียบ Blockchain (Re-organize - reorg) ให้กับ Ethereum Beacon Chain ที่กินเวลาล่าช้าไปถึง 7 บล็อก เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากข้อมูลของทาง Beacon scan ระบุว่า การจัดระเบียบบล็อกทั้งหมด 7 รายการเกิดความล่าช้า ซึ่งบล็อกหมายเลข 3,88,7,075 ซึ่งเป็นบล็อกตัวที่ 7 เป็นตัวการที่ทำให้กระบวนการการจัดระเบียบเริ่มผิดเพียน และเกิดความล่าช้า นับตั้งแต่เวลา 08:55:23 ถึง 08:56:35 นาฬีกา ตามเวลาสากล (UTC) โดยทางทีมงานได้ให้เหตุผลว่าปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากผลกระทบของการโจมตีจากบรรดานักขุดคริปโตที่ใช้แรงขุดสูง หรือ อาจเป็น Bug ที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นมา

สมมติฐานของนักพัฒนา

https://twitter.com/VitalikButerin/status/1529479408309768192

ในขณะเดียวกัน ทางด้าน Vitalik Buterin ก็ได้ออกมาตอบ Martin Köppelmann ผู้ร่วมก่อตั้ง Gnosis และหนึ่งในกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวหลังจากเกิดปัญหา Reorg ขึ้น โดยเขาได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ทางทีมงานกำลังเร่งแก้ไขปัญหากันอย่างแข็งขัน เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งกล่าวแนบทฤษฏีการวิเคราะห์ปัญหา Preston Van Loon หนึ่งในนักพัฒนาแห่ง Ethereum ที่กล่าวว่า

“พวกเราสงสัยกันว่าปัญหาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการนำข้อเสนอ Boost Fork ที่ยังไม่ได้รับการเปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบบนเครือข่ายเข้ามาใช้งาน จึงทำให้การ Reorg ในครั้งนี้ไม่สามารถบ่งชี้ถึงการ Fork ที่บกพร่องได้ แต่กลับกลายเป็นการอัปเดทบางส่วนที่ไม่มีความสำคัญ ผนวกกับซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยแล้วมากกว่า”

นอกจากนี้ยังมี Terence Tsao อีกหนึ่งนักพัฒนาในทีมที่ได้ออกมาวิเคราะห์ว่าปัญหาการ Reorg ดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากโหนดที่ได้รับการ Boost ไปแล้ว ผนวกกับโหนดที่ไม่ได้รับการ Boost บนเครือข่าย และความล่าช้าของการเชื่อมต่อบล็อกอีกด้วยนั่นเอง

ราคา Ethereum ร่วงต่อ หรือ พอแค่นี้?

แม้ว่าจากปัญหาดังกล่าวจะสร้างความหวาดวิตกให้กับเหล่านักเทรดทั่วทั้งตลาดก็ตาม แต่ทว่า ทางด้าน Michaël van de Poppe หนึ่งในนักวิเคราะห์ตลาดชื่อดังก็ได้ออกมาแสดงแผนภาพบ่งชี้ถึงแนวโน้มราคาของ Ether ที่กำลังร่วงลงสู่ระดับต่ำสุด พร้อมคาดการณ์ว่า ในอนาคตราคาของเหรียญดังกล่าวอาจจะยังคงดิ่งลงอย่างต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการพัฒนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณในเชิงบวกต่อเหรียญ

นอกจากนี้ Jon Morgan อีกหนึ่งนักวิเคราะห์ราคาจากสำนักข่าวต่างประเทศรายหนึ่ง ได้ระบุว่า อัตราความคาดหวังที่สูงมาก ๆ จะส่งผลให้เกิดแนวโน้มของการปรับฐานที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น หรือ ไม่ก็อาจทำให้เหรียญกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นได้นั่นเอง คงต้องมารอลุ้นกันต่อไปว่าทางทีมนักพัฒนาของ Ethereum จะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่