Bitcoin พุ่งทะลุ $100,000 รับกระแสสภาพคล่องจากทั่วโลก แต่นักวิเคราะห์เตือนตลาดอาจถึงจุดเปลี่ยนในปี 2026
ราคาของ Bitcoin เคลื่อนไหวสอดคล้องกับสภาพคล่องในระดับโลก แต่ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เตือนว่าตลาดขาขึ้นในรอบนี้อาจใกล้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ

ราคาของ Bitcoin เคลื่อนไหวสอดคล้องกับสภาพคล่องในระดับโลก แต่ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เตือนว่าตลาดขาขึ้นในรอบนี้อาจใกล้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ
ราคาของ Bitcoin ทะยานกลับขึ้นเหนือระดับ $100,000 อีกครั้ง ท่ามกลางกระแสสภาพคล่องทั่วโลกที่ปรับตัวสูง โดยนักวิเคราะห์จำนวนมากชี้ว่า ราคาของ Bitcoin สอดคล้องกับระดับสภาพคล่องทั่วโลกมากถึง 90%
Raoul Pal ผู้ก่อตั้ง Global Macro Investor กล่าวในเวทีสัมมนาล่าสุดว่า แม้โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยลบอื่น ๆ แต่ "การเพิ่มขึ้นของสภาพคล่อง" ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของราคาสินทรัพย์ โดยในกรณีของ Bitcoin ความเคลื่อนไหวของราคามีความสัมพันธ์ถึง 90% กับการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ทั่วโลก และสูงถึง 97% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของ Nasdaq
Pal ยังอธิบายปรากฏการณ์นี้ในมุมของการเงินส่วนบุคคล โดยระบุว่า ประชาชนกำลังเผชิญ “ภาษีแฝง” ราว 11% ต่อปี ซึ่งประกอบด้วย 8% จากการเสื่อมค่าของสกุลเงิน และ 3% จากเงินเฟ้อในระดับโลก พร้อมระบุว่า
“หากคุณมีรายได้เติบโตน้อยกว่า 11% ต่อปี เท่ากับว่าคุณกำลังจนลง”
Bitcoin ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 130% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2012 แม้จะมีช่วงขาลงอย่างรุนแรงเป็นระยะ ๆ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ดีที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา และเอาชนะผลตอบแทนของ Nasdaq ได้มากกว่า 99%
Lyn Alden นักลงทุนและนักเขียนอิสระ ระบุว่า ระบบการเงินสมัยใหม่ที่อิงกับเงินตรา (Fiat) มีพื้นฐานอยู่บน "ระดับหนี้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง" ซึ่งทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นตลอดเวลา โดยถือเป็นปัจจัยโครงสร้างที่ผลักดันให้สภาพคล่องโลกขยายตัวในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ตาม การขยายตัวนี้ไม่เป็นเส้นตรง แต่มีวงจรขึ้นลงในช่วงสั้น ๆ โดย Michael Howell ผู้เขียนหนังสือ Capital Wars ชี้ว่า สภาพคล่องโลกในปัจจุบันอยู่ในช่วงขาขึ้นของวงจร 5 ปี และคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางปี 2026
Howell ยังระบุว่าปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนสภาพคล่องของโลกในขณะนี้ ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), ธนาคารกลางจีน (PBoC) และระบบการปล่อยกู้โดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันผ่านตลาดทุน ทั้งยังมีแรงกระเพื่อมจากเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ค่าเงินดอลลาร์ และความผันผวนในตลาดพันธบัตร ที่มีผลในช่วงเวลา 6-15 เดือนหลังจากเกิดปัจจัยนั้น ๆ
อะไรจะเกิดขึ้นต่อในปี 2025–2026?
แม้จะมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในปี 2026 แต่ Howell มองว่าสภาพคล่องโลกยังมีพื้นที่ให้เติบโตต่อในปี 2025 โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มหันมาใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินอีกครั้ง เช่น ธนาคารกลางจีนที่เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบแล้ว ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ท่ามกลางแรงกดดันจากประธานาธิบดี Donald Trump
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้น พร้อมกับความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณของภาวะตึงตัวด้านเครดิตและการขาดแคลนหลักทรัพย์ค้ำประกันในระบบ
หากวงจรสภาพคล่องถึงจุดสูงสุดในปี 2026 จริง ก็อาจเกิดการกลับตัวของตลาดในภายหลัง Howell ชี้ว่า แนวโน้มการใช้นโยบาย “อัดฉีดสภาพคล่องเพิ่ม” ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกระยะยาวสำหรับสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น ทองคำ หุ้นคุณภาพดี อสังหาริมทรัพย์ที่มั่นคง และ Bitcoin
น่าสนใจว่า วงจรของสภาพคล่องโลกที่ Howell กล่าวถึงนั้นสอดคล้องกับรอบ Halving ของ Bitcoin ที่จะเกิดขึ้นในต้นปี 2026 ซึ่งหากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การมาบรรจบกันของทั้งสองวงจรนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ Bitcoin อีกครั้ง
อ้างอิง : Cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น Cryptosiam ไม่รับประกันความสมบูรณ์ ความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลดังกล่าว และไม่มีสิ่งใดในบทความนี้ที่ควรใช้เป็นคำแนะนำหรือชักชวน ให้ซื้อหรือขายคริปโต รวมทั้งการประเมินใดๆ ไม่มีข้อความใดในบทความที่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย วิชาชีพ การลงทุน และ/หรือทางการเงิน และ/หรือคำนึงถึงความต้องการเฉพาะ และ/หรือข้อกำหนดของแต่ละบุคคล
Cryptosiam และบริษัทในเครือ ขอปฏิเสธความรับผิด หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาของบทความ และการดำเนินการใดๆ กับข้อมูลในบทความนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้อ่าน และถือเป็นความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว