ข่าว Ethereum

10 ความเสี่ยงร้ายแรงของ DeFi

Photo 1543688531 C047d03fd641.jpg

นอกเหนือจากความเสี่ยงทางการเงินที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วยังมีความเสี่ยงทางเทคนิคอีกหลายประการที่ผู้ใช้ DeFi ควรระวัง วันนี้มาหาคำตอบกับ CryptoSiam กันดีกว่าว่าความเสี่ยงที่นอกเหนือจากปัจจัยทางการเงินเหล่านี้มีอะไรบ้าง?

รายงานล่าสุดที่อ้างอิงตามฐานข้อมูล และการวิจัยของบริษัท BraveNewCoin ได้ตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่ร้ายแรงหลายประการในระบบ Decentralized Finance (DeFi) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยในด้านอื่น ๆ 'นอกเหนือจากด้านการเงิน'โดยรายงานฉบับนี้ได้ทำการวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับโปรโตคอล Smart Contract ของ Ethereum โดยเฉพาะ

รายงานเล่มดังกล่าวนั้นถูกหยิบยกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทาง Xavier Meegan นักวิเคราะห์แห่งบริษัท BNC ที่ซึ่งระบุว่าปัญหาต่าง ๆ นั้นเริ่มต้นด้วย (1)ความเสี่ยงในการปรับขนาดเครือข่าย ที่ซึ่งผู้ใช้งาน DeFi ทุกรายในเดือนกันยายนปีนี้จะคุ้นเคยกับปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยความแออัดที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายนั้นส่งผลให้ค่าธรรมเนียม (Gas Fees) พุ่งสูงขึ้น และความล้มเหลวในการทำธุรกรรมอาจทำให้โปรโตคอล DeFi ทำงานผิดพลาดหรือทำงานไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้

ในช่วงที่เกิดกระแสความคลั่งไคล้การลงทุนในรูปแบบ Yield Farming นั้นส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Ethereum โดยเฉลี่ยพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15 ดอลลาร์สหรัฐ โดยงานวิจัยดังกล่าวได้อ้างอิงถึงเหตุการณ์ Black Thursday ให้เป็นตัวอย่างในกรณีข้างต้น;

“พวกเราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับ Black Thursday ในเดือนมีนาคมปี 2020 มาแล้ว เมื่อเหล่า Actors (ผู้ชำระบัญชี) จาก MakerDAO ไม่สามารถเข้าถึงการประมูลเพื่อเสนอราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงส่งผลเกิดการแจกหลักประกันไปแบบฟรี ๆ”

มีการอ้างถึงช่องโหว่ของ Smart Contract จำนวนมาก รวมไปถึง (2)ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจาก Reentrancy Attack ซึ่งเป็นรูปแบบการโจมตีระบบแบบวนซ้ำ โดยเกิดขึ้นเมื่อ Contract ได้ทำการส่ง ETH ไปก่อนที่จะมีการอัปเดตภายในระบบ โดยเหตุการณ์การโจมตี dForce มูลค่ากว่า 25 ล้านดอลลาร์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมาถือเป็นตัวอย่างของการแสวงหาประโยชน์จาก Reentrancy

Flash Loan หรือ โปรโตคอลการกู้ยืมแบบไม่ต้องค้ำประกัน (สามารถยืมและชำระคืนสินทรัพย์ได้ภายในธุรกรรมเดียวกัน) ก็สามารถแสวงหาประโยชน์จากเหตุการณ์ข้างต้นได้เช่นเดียวกัน โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่ bZx, Opyn, Harvest Finance และกรณีล่าสุดอย่าง Pickle Finance

(3)บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่อย่าง Oracles เองก็ได้สร้างความเสี่ยงขึ้นมาเช่นเดียวกัน เนื่องจาก Smart Contract อาจได้รับข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับมูลค่าเครือข่าย Off-Chain หรือ ราคาของสินทรัพย์ จากการจัดการข้อมูลของผู้ให้บริการเอง หรืออาจเป็นการจัดการจากผู้แสดงเจตนาร้ายก็เป็นได้

(4) การออกแบบโปรโตคอล อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้หากเครือข่ายต่าง ๆ ถูกควบคุมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับอาชญากรไซเบอร์ ซึ่งการทำ Composability หรือการออกแบบให้เกิดการประกอบตัวโปรโตคอลได้จากหลาย ๆ ส่วน เป็นตัวอย่างที่ดีของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้โปรโตคอล DeFi จึงจำเป็นต้องพึ่งพาโปรโตคอลอื่น ๆ ในการทำงาน โดยรายงานการวิเคราะห์ดังกล่าวได้ตั้งข้อสังเกตว่าแนวคิด "Money Lego" เกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่างกันภายในระบบก่อให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น

“การเชื่อมโยงระหว่างกันบนระบบ DeFi ในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับการเงินรูปแบบเดิมช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลก (GFC) ในปี 2007–08 อย่างมาก”

นอกจากนี้ยังมี (5) ความเสี่ยงในการรวมเครือข่าย ที่เกิดขึ้นบนระบบ DeFiหากโปรโตคอลถูกควบคุมโดยศูนย์กลางของสื่อกลาง หรือกำกับดูแลโดยผู้ครอบครองเหรียญCrypto รายใหญ่บางราย โดยการกำกับดูแลการโหวตของ Uniswap ครั้งแรกนั้นถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นว่าวิธ๊การที่ผู้ใช้งานกลุ่มเล็ก ๆ ใช้ในการควบคุมผลลัพธ์นั้นทำได้อย่างไร นอกจากนี้ Stablecoins จำนวนมากที่ถูกนำมาใช้บนระบบ DeFi ยังถูกรวบรวมและควบคุมโดยองค์กรต่าง ๆ

(6) การพึ่งพา Infuraในฐานะผู้ให้บริการโหนดโครงสร้างพื้นฐานก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เนื่องด้วยทางอุตสาหกรรมได้ค้นพบปัญหาเครือข่ายล่มในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน โดยทาง Infura จัดหาลูกค้าที่ใช้ Ethereum ผ่าน Cloud เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องดำเนินการบนโหนดของตนเอง

“กลุ่มผู้ใช้งาน Ethereumราว 63% ที่เลือกใช้งาน Infura ในการปฏิบัติการบนเครือข่ายบล็อกเชน หาก Infura ไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดไว้ในอนาคตจะก่อให้เกิดผลกระทบใดบ้าง”

การวิเคราะห์ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่ามีความเสี่ยงอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น (7) ความเสี่ยงด้านแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ, (8) ความเสี่ยงของการขาดความรู้ด้านการเงิน และ (9) ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ นอกจากนี้ผลรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่ายังมี (10) ความเสี่ยงที่จะพบความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดดูเหมือนฝันร้ายของระบบทางการเงินครั้งใหญ่!

ติดตาม CryptoSiam
เพื่อให้ไม่พลาด ทุกข่าวสาร วงการคริปโต
ข่าวต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

รายงาน ก.ล.ต. สรุปภาพรวมบัญชีซื้อขายที่ Active ในช่วงต้นเดือน 'เมษายน' ปี 2567
ตลาด Altcoin มีโอกาสเสี่ยงถูกปรับฐาน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ซีอีโอ Crypto.com ชี้! Bitcoin กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
 วาฬหน้าใหม่ ครอบครอง Bitcoin รวมกันไปแล้วถึง 1.8 ล้าน BTC