Ethereum 2.0 ใกล้เข้ามาแล้วจากการอัปเกรด Altair ที่จะมีขึ้น
เครือข่าย Ethereum กำลังจะก้าวไปสู่ Ethereum 2.0 อีกขั้นด้วยการอัปเกรด Altair หรือเครือข่าย Beacon Chain ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ที่ 27 ตุลาคม
เครือข่าย Ethereum กำลังจะก้าวไปสู่ Ethereum 2.0 อีกขั้นด้วยการอัปเกรด Altair หรือเครือข่าย Beacon Chain ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ที่ 27 ตุลาคม
ราคา Ether (ETH) เกือบจะแตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-time high) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ก่อนที่จะร่วงลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์ หลังจากที่สัญญาออปชั่นจำนวน 435 ล้านดอลลาร์หมดอายุลงในวันที่ 22 ตุลาคม ทำให้อารมณ์ตลาดแย่ลง
เครือข่าย Ethereum กำลังจะก้าวไปสู่ Ethereum 2.0 อีกขั้นในวันที่ 27 ตุลาคม ที่ epoch 74240 ด้วยการอัปเกรด Altair ซึ่งถือเป็นการอัปเกรด Beacon Chain สิ่งนี้จะทำให้ Eth 2.0 เป็นเครือข่ายแบบ Proof-of-stake (PoS) ซึ่งทางชุมชนได้เตรียมพร้อมมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
จุดอ่อนของ Ethereum (ETH)
ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) และ Non-fungible token (NFTs) ทำให้ Ethereum เจอกับปัญหาเรื่อง scalability ซึ่งเกิดจากการที่แอปพลิเคชันและจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบเกิดความแออัดนั่นเอง การที่เครือข่าย Ethereum มีผู้ใช้และจำนวนธุรกรรมที่มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม หรือที่เราเรียกว่าค่าแก๊ส สูงขึ้นตามไปด้วย
การที่เครือข่าย Ethereum ใช้ระบบ Proof-of-Work (PoW) เพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรม ทำให้ระบบที่ต้องใช้เวลาและพลังงานในการประมวลผลมากขึ้น นอกจากนี้แต่ละบล็อกของ ETH ที่สามารถบรรจุข้อมูลได้จำกัด ทำให้ธุรกรรมที่จ่ายค่าแก๊สสูงได้รับการยืนยันธุรกรรมก่อน ส่งผลให้เกิดปัญหาค่าแก๊สสูงขึ้นอย่างในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ Vitalik Buterin ผู้สร้าง ETH จึงต้องการแก้ไขปัญหาด้วย Ethereum 2.0 ที่เปลี่ยนจากระบบ Proof-of-Work (PoW) ไปเป็น Proof of Stake (PoS) นั่นเอง
การอัปเกรด Altair
การเดินทางไปสู่ Ethereum 2.0 นั้นเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับตั้งแต่ปลายปี 2020 สิ่งนี้สามารถช่วยให้ ETH สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้
“The Merge” — การรวมเครือข่าย Ethereum Mainnet เข้ากับระบบ Proof of Stake (PoS) ของ Beacon Chain จะเป็นจุดสิ้นสุด Proof-of-Work (PoW) ของ Ethereum ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2022
Altair ซึ่งเป็นการอัปเกรด mainnet ครั้งแรกของ Beacon Chain โดยจะเกิดขึ้นที่ epoch 74,240 ในวันที่ 27 ตุลาคม 2021 เวลา 10:56:23 น. UTC คำว่า epoch เป็นหน่วยวัดเวลาหลักของ Eth2 โดยแต่ละ epoch จะแบ่งออกเป็น 32 slot และอยู่ที่ประมาณ 6.4 นาที
Ben Edgington ซึ่งเป็นนักพัฒนาของ ETH เผยว่า “การอัปเกรด The Merge จะเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ethereum การอัพเกรด Altair จะให้ประสบการณ์อันมีค่าแก่เรา เพื่อให้แน่ใจว่า The Merge จะดำเนินไปอย่างราบรื่นเมื่อพร้อมสำหรับการใช้งานในปี 2022”
“The proof of stake upgrade, known as The Merge, will be the biggest upgrade in Ethereum’s history. The Altair upgrade will give us valuable experience to ensure that The Merge goes smoothly when it is ready for deployment in 2022.”
Vitalik Buterin ผู้สร้าง ETH ได้พูดที่งาน Shanghai International Blockchain Week ปี 2021 ในสัปดาห์นี้ โดยกล่าวว่า เลเยอร์ 2 จะเป็นอนาคตในเรื่อง scaling ของ Ethereum และเป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัยในการแก้ปัญหาดังกล่าว ในขณะที่ Ethereum ยังคงรักษาการกระจายอำนาจที่เป็นหัวใจสำคัญของบล็อกเชนเอาไว้
ETH กำลังจะถูกฆ่าหรือไม่?
ปัจจุบัน Ethereum กำลังโฮสต์ระบบการเงินทางเลือกที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว และยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในด้านการเงินแบบกระจายอำนาจ หรือ DeFi อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดอ่อนที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ ETH เจอกับคู่แข่งมากมาย เช่น Binance Smart Chain (BSC), Cardano, Polkadot และ Solana ได้เกิดขึ้น และพวกมันได้รับฉายาว่าเป็น “นักฆ่า Ethereum” ซึ่งมาพร้อมกับการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว และต้นทุนที่ถูกลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของ State of the DApps เผยว่า “Ethereum มีข้อได้เปรียบในการเป็นผู้เล่นรายแรก ซึ่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผลว่าทำไมแอพพลิเคชั่นเกือบ 80% ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายของ Ethereum”
นอกจากนี้โปรโตคอล DeFi และ Stablecoin ส่วนใหญ่ยังทำงานบนเครือข่าย Ethereum อีกด้วย และ ETH ยังคงครองมูลค่ารวมที่ถูกล็อคใน DeFi มากถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ผู้นำตลาด Non-fungible token (NFT) อย่าง OpenSea ส่วนใหญ่ใช้บล็อกเชน Ethereum ซึ่ง Ethereum ได้ครองพื้นที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยคิดเป็นอย่างน้อย 97% ของทุกภาคส่วนในตลาด NFT รวมถึงเกม ของสะสม และตลาดซื้อขายด้วย
อย่างไรก็ตาม นาย Buterin กล่าวว่า เฟสสุดท้ายของ Eth 2.0 ยังอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าสุดท้าย ETH จะสามารถแก้ไขจุดอ่อนที่มีมาอย่างยาวนานได้หรือไม่ เพราะหากแก้ไขไม่ได้ ETH อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในอนาคต