ยังไม่หลุมอีกเหรอ? 3 เหตุผลที่ระบุว่าราคา Bitcoin นั้นยังไม่เจอฐาน
ตลาดหมีที่เกี้ยวกราด, ความกังวลในตลาดที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงในเศรษฐกิจระดับมหภาค ยังคงกัดกร่อนและสร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนและราคาของ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง
ตลาดหมีที่เกี้ยวกราด, ความกังวลในตลาดที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงในเศรษฐกิจระดับมหภาค ยังคงกัดกร่อนและสร้างความเจ็บปวดให้กับนักลงทุนและราคาของ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง
สกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 อย่าง Bitcoin (BTC) แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างน่าพอใจในวันที่ 15 สิงหาคม 2022 ขึ้นมาแตะระดับ 25,211.32 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 2 เดือน แต่ตลาดก็เพิ่มขึ้นเพียงชั่วขณะและหมีก็กลับมายึดครองตลาดอีกครั้ง
หลังจากที่ราคา Bitcoin พุ่งทะลุระดับ 25,000 ดอลลาร์แต่ไม่สามารถยืนเหนือระดับราคานั้นได้ ราคาของ Bitcoin จึงเริ่มลดลงมาอีกครั้งและในวันที่ 19 สิงหาคม 2022 ก็เกิดการเทขายอย่างรุนแรงจนราคาของ Bitcoin ลดลงจากระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 23,208.67 เป็น 20,783.57 หรือคิดเป็นการลดลงกว่า 10.16% ภายใน 1 วัน
ในขณะที่เขียน ราคาของ Bitcoin ในกราฟรายวันนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 0.97% มาอยู่ที่ 21,123 ดอลลาร์ แต่ยังคงลดลงเกือบ 14.66% ในกราฟสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นผลการดำเนินงานในรายสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2022
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาของ Bitcoin จะลดลงอย่างหนักหน่วงแค่ไหน ตัวชี้วัดแบบ On-Chain บางตัวกลับนำเสนอว่าการลดลงในครั้งนี้ของ Bitcoin นั้นใกล้ที่จะสิ้นสุดแล้ว
ตัวชี้วัดนี้คือ Hash Ribbon ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ติดตาม Hash Rate ของ Bitcoin ที่จะคอยติดตามและตรวจสอบว่าเหล่านักขุด Bitcoin นั้นยังคงสะสมสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 หรือเทขาย Bitcoin ออกมาหมดแล้ว และในวันที่ 20 สิงหาคม 2022 ที่ผ่านมา ตัวชี้วัด Hash Ribbon ได้แสดงให้เห็นว่า “เหล่านักขุดนั้นเลิกเทขาย Bitcoin ของพวกเขาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 ซึ่งอาจจะช่วยให้แรงกดดันด้านการขายลดลงและช่วยส่งเสริมให้โมเมนตัมของราคาเปลี่ยนจากเชิงลบเป็นบวกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดในแง่บวกเพียงตัวเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนราคา Bitcoin ให้เพิ่มขึ้น สกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงตัวบ่งชี้เชิงลบมากมายที่มีอยู่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็น ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาลงไปจนถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
แสดงว่าราคาของ Bitcoin ยังลงมาไม่ถึงต่ำสูงสุดอย่างงั้นเหรอ?
ดังนั้น ในบทความนี้จึงจะพาทุกท่านมาศึกษาเกี่ยวกับ 3 เหตุผลที่ระบุว่าราคา Bitcoin นั้นยังไม่เจอฐานและอาจจะลดลงได้อีกในอนาคตอันใกล้
1.ราคา Bitcoin พังลงมาจาก Rising Wedge ที่เกิดขึ้น
ราคาของ Bitcoin ที่ลดลงในสัปดาห์นี้ทำให้ราคาของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 เกิดการพังทลายลงมาจากรูปแบบ Rising Wedgeที่เกิดขึ้นกับ Bitcoin ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงตลาดหมีที่แข็งแกร่งและแนวโน้มขาลงที่ยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังคือ “การหลุดจากรูปแบบราคา Rising Wedge นั้นอาจจะทำให้นักลงทุนได้เห็นการลดลงครั้งยิ่งใหญ่ของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า”
การหลุดจาก Rising Wedge คือรูปแบบการกลับตัวของตลาดหมีที่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาของสินทรัพย์นั้นหลุดลงมาจากกรอบของราคาที่กำลังเพิ่มขึ้น เพราะการที่ราคาทะลุลงมาจากกรอบนี้ มันอาจจะส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์นั้นลดลงก็เป็นได้
หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคกับราคาของ Bitcoin นักลงทุนอาจจะได้เห็นการลดลงอีกประมาณ 25% จากระดับราคาในปัจจุบันลงไปที่ 17,600 ดอลลาร์ ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
2.Fed คือตัวแปรสำคัญ
Bitcoin เพิ่มขึ้นประมาณ 45% และเข้าสู่รูปแบบราคา Rising Wedge หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดที่ประมาณ 17,500 ดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน 2022
สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวโน้มขาขึ้นของ Bitcoin นั้นได้รับการสนับสนุนจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อได้พุ่งมาถึงจุดสูงสุดแล้วและธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยทันทีในเดือนมีนาคม 2023
ความคาดหวังของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากแถลงการณ์ FOMC ของ Jerome Powell ประธานของ Federal Reserve ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2022
Powell ระบุในแถลงการณ์ว่า “ด้วยนโยบายการเงินที่เราดำเนินการเพื่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ มันจึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะชะลอการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราจะประเมินว่าการปรับนโยบายของเรานั้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างไร"
อย่างไรก็ตาม แผนภาพล่าสุดของ Federal Reserve แสดงให้เห็นว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นจะพุ่งสูงถึง 3.75% ภายในสิ้นปี 2023 ก่อนที่จะปรับลดลงมาเหลือ 3.4% ในปี 2024
James Bullard ผู้ซึ่งเป็นประธานของ Federal Reserve Bank of St. Louis ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตอีกว่า “เราสนับสนุนการเพิ่มดอกเบี้ยอีก 75 จุดติดต่อกันเป็นครั้งที่สามในการประชุมนโยบายของธนาคารกลางในเดือนกันยายน 2022” ซึ่งข้อสังเกตในครั้งนี้ก็สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ Federal Reserve ที่จะลดอัตราเงินเฟ้อให้เหลือเพียง 2% จาก 8.5% ในปัจจุบัน
สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังคือ Bitcoin และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอื่นๆ นั้นอาจจะมีมูลค่าที่ลดลงเนื่องจากความกังวลของการขึ้นดอกเบี้ยจาก Federal Reserve ที่จะทำให้สินทรัพย์เหล่านี้อยู่ภายใต้แนวโน้มขาลงต่อไป
หากอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ที่มีหน้าที่ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจะมีไว้เพื่ออะไร? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่น่าคิดนะครับ
3.ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย?
การฟื้นตัวของราคา Bitcoin ในปัจจุบันกลายเป็น Bull Trap หรือสัญญาณขาขึ้นที่ผิดพลาด เพราะราคาของสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 นั้นไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 25,000 ดอลลาร์และถูกเทขายในเวลาต่อมา
การเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด (Rebound) ในครั้งนี้นั้นคล้ายคลึงกับรูปแบบของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงตลาดหมีครั้งก่อน
การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลอันดับที่ 1 ในปี 2018 ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงตลาดขาลงที่โหดร้าย ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้นเกือบ 100% จากประมาณ 6,000 ดอลลาร์ขึ้นไปสู่ระดับ 11,500 ดอลลาร์ เพื่อทำให้นักลงทุนเชื่อว่ากำลังจะกลับเข้าสู่ตลาดกระทิง แต่ทุกอย่างก็จบลง เพราะราคาของ Bitcoin นั้นลดลงจากระดับประมาณ 11,500 สู่ 3,200 ดอลลาร์ อย่างโหดร้าย
สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังคือ การ Rebound ในปี 2022 นั้นมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2019 และ 2022 ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องวางแผนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ดี!
อ้างอิง: LINK